“3 วันนี้เป็น 3 วันที่ไม่ธรรมดา ทำเหมือนอยู่มาแล้ว 1 เดือน ที่แสดงถึงความเก๋าของผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มีทีมงานที่พร้อม ถ้าให้คะแนนผมให้ A+++ เพราะไม่เคยเห็นผู้นำคนไหนมีคำสั่งและทำทันทีได้ขนาดนี้”
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ผลกระทบจาก 3 วันแรกที่มากสีสัน ด้วยนโยบายต่างๆ ที่ประกาศออกมาจากที่เคยหาเสียงไว้
ดร.กอบศักดิ์ มองว่าการทำงานของ โดนัลด์ ทรัมป์ เขย่าโลกไม่น้อย เพราะเพียงแค่ 3 วันนี้เป็น 3 วันที่ไม่ธรรมดา ทรัมป์ทำเหมือนดำเนินการมานานกว่า 1 เดือน
แม้ทรัมป์เคยเป็นประธานาธิบดีมาแล้ว 4 ปี วันนี้กลับมาเป็น ‘มือเก่าที่เก๋า’ โดยทรัมป์กล่าวในพิธีสาบานตนด้วยคำว่า Comfortable Life ซึ่งสื่อถึงการใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ตลอดระยะเวลา 4 ปีในช่วงว่างเว้นจากตำแหน่ง
“แต่ผมมั่นใจเลยว่าตลอดระยะเวลา 4 ปี ทรัมป์เฝ้าติดตามนโยบายและความเคลื่อนไหวของ โจ ไบเดน อย่างต่อเนื่อง และคิดอยู่ในใจเสมอว่า หากมีโอกาส เขาจะกลับมายกเลิกโครงการของไบเดนคืน แล้วจะนำอเมริกากลับไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งก็โชคดีที่ว่าในวันนี้ทรัมป์กลับมาชนะการเลือกตั้งในที่สุด” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
ดังนั้นการที่ 3 วันที่ผ่านมาซึ่งทั่วโลกจับตาและเปิดตัวได้คึกคักขนาดนี้ แสดงถึงความเก๋าของผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรวมไปถึงทีมงานที่พร้อมมานาน
ส่วนตัวได้มีโอกาสอ่านและติดตามการทำงานพบว่า ทรัมป์มีทีมทำงานที่คอยนับเดือน และก่อนหน้านี้ทุกคนจะนำเสนอโครงการนับร้อย จนนำมาสู่สิ่งที่เรียกว่า การลงนามคำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order)
ทีมงานจะเสนอและช่วยดูว่ามีแนวทางที่ต้องการให้ดำเนินการอย่างไร เอามากองและตั้งไว้ และทรัมป์จะมานั่งดูว่าเรื่องไหนควรดำเนินการได้ก่อน อะไรที่ควรรอ อะไรที่ไม่แน่ใจ นี่คือสิ่งที่ทำให้ความเก๋าของคนเป็นผู้นำและทีมงานชัดขึ้นไปอีก
เนื่องจากหากย้อนไปในขณะยุคแรกของทรัมป์ เขายังไม่มีการเตรียมการที่ชัดเจนมากเท่ากับในยุคนี้ เมื่อกลับมาในวันนี้ทรัมป์ต้องการที่จะทำให้อเมริกากลับมาเป็น Golden Age (ยุคทอง) อีกครั้ง
“ถ้า 3 วันมีสีสันเยอะขนาดนี้ นึกไม่ออกเลยว่าเมื่อครบ 1 สัปดาห์ สีสันจะมากน้อยแค่ไหน ไปจนกว่า 1 เดือน ปีแรก กระทั่ง 4 ปี ช่วงของความตื่นเต้นจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงต้องเฝ้าติดตามผลกระทบจากการตัดสินใจของทรัมป์ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
3 วันสะท้อนอะไรบ้าง?
ดร.กอบศักดิ์ วิเคราะห์ถึงสัญญะที่ซ่อนอยู่ในพิธีสาบานตนว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะทรัมป์เปิดฉากการกลับมาของรัฐบาลด้วยความเป็น One Man Show หมายความว่า เป็นรัฐบาลที่คิด ทำ และสั่งการ โดยทรัมป์เป็นหลัก ดังนั้นหากอยากจะเข้าใจอเมริกาว่าจะเดินไปที่จุดไหนก็ต้องติดตามจากเขาเพียงผู้เดียว ซึ่งที่ผ่านมาทรัมป์แสดงออกให้เห็นถึงนัยสำคัญ 5 จุด คือ
เมื่อครั้งที่ทรัมป์สาบานตนเข้ารับตำแหน่งที่รัฐสภา เขาใช้โอกาสการสวนสนามกล่าวสุนทรพจน์อีกรอบว่าคิดอะไร อยากทำอะไร ที่สำคัญที่สุดคือเพื่อให้ทุกคนเห็นว่า ‘เขามาแล้ว’
จะเห็นได้จากไฮไลต์คือเอกสารทั้งหมดที่วางและเซ็นไปเกือบ 10 ฉบับทันที ซึ่งเป็นอำนาจของประธานาธิบดีที่รัฐสภามอบให้ เพื่อดำเนินการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการถอดถอนความตกลงปารีส การไม่เอาโลกร้อน ซึ่งแอ็กชันของธนาคารสำคัญๆ ที่เคยประกาศ Net Zero ก็ออกมาทันทีว่า ถ้าทรัมป์ไม่เอา เราก็ไม่เอาด้วย
อีกหนึ่งซีนที่ทรัมป์แสดงให้เห็นคือสัญชาตญาณของนักการเมือง ลายเซ็นจากปลายปากกาของทรัมป์ ที่คนต้องการเก็บเป็นที่ระลึก วันนั้นเซ็นแล้วโยนไปมาตามอัฒจันทร์ แม้ไม่อยู่ในบท แต่เป็นสิ่งที่ฮือฮาและได้ใจชาวอเมริกัน
ทรัมป์ยังถาม-ตอบกับผู้สื่อข่าวอย่างเป็นกันเอง และพูดถึงโครงการ Stargate อีกข้อสำคัญคือการใช้ Truth Social ซึ่งเป็นพื้นที่โซเชียลมีเดียของตนเองในการประกาศสำคัญมากมาย นอกจากนี้ทรัมป์ยังโพสต์ผ่านแอปพลิเคชัน X อีกด้วย
นอกจากสถานที่ที่ปรากฏตัว สิ่งที่ทรัมป์เซ็นออกมาก็สะท้อนตัวตนของเขาเอง ซึ่งผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดีแล้ว เช่น เรื่องที่มีปัญหามานาน คือ การอภัยโทษให้กับเหตุการณ์วันที่ 6 มกราคม 2021 ที่มีการบุกรัฐสภา ขณะนั้นเกิดข้อถกเถียงกันในสังคมถึงความเหมาะสมในการอภัยโทษ แต่ท้ายที่สุดทรัมป์ก็ตัดสินใจอภัยโทษ สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงแนวคิดและตัวตนของทรัมป์อย่างชัดเจนว่า อะไรที่พูดแล้วต้องทำ และอะไรที่สำคัญ
หลังจากนั้นถัดมา Day 2 ก็ประกาศโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในชื่อว่า Stargate
ทรัมป์สร้างมาตรฐานใหม่ของผู้นำในวันแรกต่างจากในอดีต
สิ่งที่เห็นข้างต้นจะประเมินได้ว่าอย่างไร ดร.กอบศักดิ์ มองว่าเมื่อมีการเลือกตั้ง รัฐบาลใหม่มักจะบอกว่า 100 วัน 99 วันแรก แต่ทรัมป์สร้างมาตรฐานใหม่ของโลก คือ วันแรก ซึ่งมองว่าทรัมป์ทำได้ดี เป็นวันแรกที่มีสีสันที่สุดของโลกในบรรดาผู้รับตำแหน่งผู้นำ เรียกได้ว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของโลกเลยก็ว่าได้
ขณะนี้เมื่อย้อนดูสปีชประกอบกับสิ่งที่ทรัมป์ลงนามจะเห็นว่าทรัมป์ทำอย่างที่พูด เขามีอยู่ในใจทั้งหมดว่าจะทำอะไรบ้างในช่วง 1 ปีแรก
“ทั้งความเป็นรัฐ ความปลอดภัย และยุติการใช้เครื่องมือของรัฐทำลายผู้ที่เห็นต่าง จะต้องจบลง และแน่นอนว่ายุคทองของอเมริกากำลังจะกลับมา”
อย่างไรก็ตาม ดร.กอบศักดิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า ดูเหมือนว่าสปีชของทรัมป์ในรัฐสภาไม่เหมือนการรับตำแหน่งใหม่ๆ ที่มีคำพูดสวยหรู แต่ครั้งนี้สะท้อนชัดว่าสิ่งที่เขาพูด เขาทำจริง
หากเทียบกับ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของอเมริกา (ค.ศ. 1961-1963) เจ้าของวาทะ Ask not what your country can do for you, ask what you can do for your country “จงอย่าถามว่าประเทศชาติให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามตัวท่านเองว่าท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติ” กลับตรงกันข้ามกับทรัมป์ในวันนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าทรัมป์ไม่มีคำพูดอะไรสวยๆ ใช้ถ้อยคำปกติ ตั้งใจให้อเมริกากลับคืนมา นี่คือสปีชของคนที่พร้อมเข้าสู่การทำงาน
เช่น การลงนามประกาศปิดพรมแดนแล้วจัดการทันที นอกจากนี้ยังมีคำประกาศ Illegal Country และจะเริ่มส่งคนต่างด้าวนับล้านกลับคืนประเทศ รวมถึงการหยุดแนวทางจับคนเข้าเมืองผิดกฎหมายได้ก็ปล่อย จะเป็นอันตราย ตลอดการส่งทหารสู่พรมแดนด้านใต้
ตลอดจนให้คำมั่นว่าจะยุติสิ่งที่เขาเรียกว่า Green New Deal การถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement) เพิกถอนคำสั่งซึ่งลงนามโดยไบเดน ที่ตั้งเป้าหมายผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 50% ภายในปี 2030 ที่สำคัญคือเก็บภาษีสินค้านำเข้า
หลังจากนั้นทรัมป์ไปกล่าวที่ขบวนพาเหรดอีกว่า “ไม่สนับสนุนพลังงานลม” พร้อมทั้งประกาศ ‘สถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ’ แม้ว่าขณะนี้อเมริกาจะผลิตน้ำมันมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่เขาตั้งใจที่จะยกเลิกคำสั่งห้ามขุดเจาะน้ำมันแห่งใหม่ กลับมาเติมสำรองเชิงยุทธศาสตร์ให้เต็มอีกครั้ง
“ทั้งหมดนี้ทรัมป์พูดแล้วทำทันทีใน 3 วัน ถ้าให้คะแนนผมให้ A+++ เพราะไม่เคยเห็นผู้นำคนไหนมีคำสั่งและทำทันทีได้ขนาดนี้”
6 สงครามที่ทรัมป์กำลังต่อสู้
- สงครามแนวคิดระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ที่เริ่มจากการที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่ง 78 ฉบับของไบเดน
- สงครามนโยบายปิดพรมแดน
- สงครามการค้ากับประเทศต่างๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเม็กซิโก แคนาดา รวมถึงจีน 4. สงครามเทคโนโลยีที่กำลังต่อสู้กับจีน ซึ่งทรัมป์เพลี่ยงพล้ำ และแน่นอนว่า โครงการ Stargate จะนำมาซึ่งการแข่งขันด้าน AI
- สงครามที่แท้จริง คือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน และตะวันออกกลาง
- สงครามที่ถูกเอาเปรียบจากประเทศอื่น นั่นหมายความว่า การกลับมาของนโยบาย America First ชาวอเมริกันต้องไม่เสียเปรียบทั้งน้ำมันและก๊าซ ซึ่งเป็นเหตุผลของการถอนความตกลงปารีส และ WHO เพราะทรัมป์มองว่าอเมริกาเสียเงินโดยใช่เหตุ และท้ายสุดคือ NATO นี่คือสงครามที่ทรัมป์กำลังต่อสู้
เมื่อมองดูความเป็นไปได้ต้องบอกว่า สิ่งที่พูดไปทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งประเมินภาพรวมว่า ประเด็นการปิดพรมแดน การอภัยโทษ และการเก็บภาษี ทรัมป์ทำจริง แต่เรื่องที่ทำได้น้อยกว่าที่พูดคือการเก็บภาษีนำเข้าจากจีน ซึ่งส่วนนี้มองว่ายังเป็นมวยล้มต้มคนดู และสงครามระหว่างประเทศก็ไม่มากนัก เพราะต้องใช้เวลา
ในขณะเดียวกันโครงการ Stargate เป็นเรื่องที่เป็นเทคโนโลยี AI ทรัมป์ไม่ได้พูดก่อนหน้านี้ แต่กลับทำทันที
ตลาดไหลกลับเข้าสู่อเมริกา ทั้ง Dow Jones, Nasdaq และ Bitcoin จับตาโครงการ Stargate
ทั้งหมดนี้นำมาสู่การมองภาพรวม 3 วันของตลาด อย่างดัชนี Dow Jones จ่อทำ New High รวมถึง Nasdaq ก็พุ่งขึ้นพร้อมเข้าสู่ระดับ New High ที่ 2,000 จุด
ที่สำคัญคือ Bitcoin จะเห็นว่าราคาขึ้นรับข่าวทรัมป์ เพราะทรัมป์สัญญาไว้ก่อนนี้ว่า ถ้ากลับมาเป็นประธานาธิบดีจะทำให้ “อเมริกาเป็นเมืองหลวงการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีของโลก” ซึ่งนโยบายนี้ก็ทำให้เลขา กลต. อเมริกาลาออก
รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้น หมายความว่า ทุกคนกำลังกลับไปยังตลาดอเมริกาอีกครั้ง ตรงกันข้าม หุ้นเซี่ยงไฮ้ตก จากการขึ้นภาษีจีนเพียง 10% หรือหากไปดูหุ้น AI อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องก็ปรับตัวขึ้นทันที
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าโครงการ Stargate ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐนั้นเป็นโครงการที่น่าจับตาอย่างยิ่ง ซึ่งทรัมป์ย้ำว่า ภายใน 5 ปี AI จะเก่งเท่าคน และจะสนับสนุนการลงทุนในประเทศ เพราะทรัมป์ไม่เชื่อในการออกไปลงทุนนอกประเทศ
อีกไฮไลต์เด็ดคือ ทรัมป์จะส่งคนไปปักธงที่ดาวอังคารให้ได้ ทำให้ภาพจับไปที่ อีลอน มัสก์
อาเซียนและไทยต้องวางยุทธศาสตร์ และ 4 ปีจากนี้ราคาสินทรัพย์จะผันผวน
ท้ายสุด ดร.กอบศักดิ์ มองว่า ผลกระทบต่อประเทศไทยนั้นอาจเกี่ยวข้องกับหลายส่วน ซึ่งปกติแล้วไทยจะเชื่อมโยงกับการค้าต่างประเทศทั้งการนำเข้า การส่งออก การท่องเที่ยว เงินทุนไหลเข้าทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงิน) ซึ่ง 4 ปีจากนี้จะมีความผันผวนของราคาสินทรัพย์
ประเด็นสงครามการค้าส่งผลกระทบถึงไทยแน่นอน แต่ตอนนี้ยังเป็นช่วงต่อรองกันอยู่ ซึ่งเราอาจต้องเตรียมความพร้อม รักษาโมเมนตัมให้ดี และคิดว่าบริหารจัดการได้ เพราะไทยก็เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอเมริกาในสมรภูมิการรบกับประเทศจีนในภูมิภาคอาเซียน และเห็นด้วยในการเข้าร่วมทั้ง BRICS และ OECD
อย่างไรก็ตาม คาดว่าหากสงครามการค้าระหว่างอเมริกาและจีนรุนแรง ไทยอาจได้รับอานิสงส์จากความต้องการสินค้าของชาวอเมริกันที่เพิ่มขึ้น เพราะส่วนแบ่งจากสินค้าจีนที่หายไปจากกำแพงภาษี รวมถึงการท่องเที่ยวปีนี้ที่น่าจะดีต่อเนื่อง ตลอดจนเงินทุนที่ไหลเข้าทั้งจากการลงทุนโดยตรง (FDI) ที่มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย และการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ไทยควรแย่งชิง FDI เพื่อนบ้านให้มากที่สุด
หลังจากนี้จึงอยากเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะมองว่าหากเราไม่เตรียมการให้ดี ปัญหาทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือนและเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าตัวเลข GDP ไทยปีนี้จะเติบโตในระดับเกิน 3% แต่ต้องรักษาโมเมนตัมให้ดี ดร.กอบศักดิ์ ทิ้งท้าย
ภาพ: Andrew Harnik, Yaorusheng / Getty Images