ภาพรวมแนวโน้มการลงทุนในปีนี้มีความเสี่ยงที่จะเห็นความผันผวนจากหลายปัจจัยที่มากระทบ ซึ่งรวมถึงตลาด หุ้นไทย ที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ไปตามดูกันว่าปัจจัยอะไรบ้างที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในปีนี้
สุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Investment Strategy ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ประเมินว่าภาพรวมการลงทุนในปี 2025 ตลาดสินทรัพย์การลงทุนของโลกจะมีความผันผวน อีกทั้งจะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ไม่สูงมากนัก
สำหรับรูปแบบการลงทุนในปีนี้จะแตกต่างจากปีที่ผ่านมา โดยจะต้องเน้นการลงทุนในรูปแบบของการเทรดดิ้งมากขึ้น อีกทั้งมีการปรับเปลี่ยนการลงทุนที่ต้องรวดเร็วมากขึ้นจากเดิม
เปิดปัจจัยที่มีผลต่อตลาดในปี 2025
ปัจจัยบวก
- การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารหลัก โดยภาพยังเป็นวัฏจักรของดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ที่ลงอย่างต่อเนื่อง แต่อาจไม่ได้เร็วอย่างที่คาดการณ์ไว้
- เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยจะชะลอตัวแบบ Soft Landing ยังไม่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)
- นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศ รวมถึงจีนที่มีความต่อเนื่อง
- นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยช่วยผลักดันผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)
ปัจจัยลบ
- นโยบายเศรษฐกิจและการเมืองของ โดนัลด์ ทรัมป์
- เงินเฟ้อเริ่มลงยากขึ้น นำไปสู่ดอกเบี้ยที่ลงได้ช้าหรือน้อยกว่าที่คาด
- เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่คาด
- ผลตอบแทนพันธบัตรและค่าเงินผันผวน
- ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ที่กระทบผลการผลิตในภาคการเกษตรของไทยและส่งผลกระทบต่อ GDP
- การเมืองในไทยที่ยังต้องติดตาม
สำหรับสินทรัพย์ที่มีมุมมองว่าน่าสนใจลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้คือตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะได้แรงหนุนจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับลง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาต่อเนื่อง รวมถึงผลบวกจากมาตรการลดภาษีของทรัมป์ ขณะที่ Emerging Market หรือ EM ในตลาดหุ้นอินเดียและเวียดนามมีความน่าสนใจ เพราะจะได้รับผลกระทบจากประเด็นสงครามการค้า (Trade War) ไม่มาก อีกทั้งยังได้อานิสงส์จากการที่อุตสาหกรรมจะออกจากจีนมาลงทุนในอินเดียและเวียดนามแทน
ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นจีนยังสามารถลงทุนในลักษณะ Selective ได้ เนื่องจากคาดว่าภาพเศรษฐกิจของจีนจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นได้ในช่วงต้นปีนี้ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาก่อนหน้านี้ อีกทั้งมีโอกาสที่จะเห็นจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้มีมุมมองว่าควรลงทุนอยู่ในพอร์ต เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาพรวมของความผันผวนในสินทรัพย์เสี่ยงได้ โดยเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะปานกลางอายุ 3-5 ปี จากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
นอกจากนี้ แนะนำให้กระจายความเสี่ยงการลงทุนในทองคำ เพื่อลดความเสี่ยงของความผันผวนและความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)
ด้านตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปีนี้ที่ปรับตัวลดลงมาแรง มาจากปัจจัยลบเฉพาะตัวหลายประเด็น เช่น ความกังวลในนโยบายการควบคุมราคาไฟฟ้าที่ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งกดดันราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังการลงทุนในระยะสั้น
คาดหุ้นไทยปีนี้มีลุ้นวิ่งเข้าเป้า 1,550 จุด
ส่วนเป้าหมาย SET Index ในปีนี้ทำไว้ที่ 1,550 จุด หรือมี Upside ประมาณ 10% จากช่วงสิ้นปี 2024 สอดคล้องกับกำไรต่อหุ้น (EPS) ในปีนี้จะเติบโตประเมินไม่น้อยกว่า 10% จากปี 2024 พร้อมทั้งประเมินว่าภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งแรกของปีนี้จะดูดีกว่าช่วงครึ่งหลังของปีนี้
เปิด 4 ธีมการลงทุนรับมือความผันผวน
สำหรับการลงทุนในปีนี้ในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นให้เน้นการเทรดดิ้ง เพราะจะเห็นความผันผวนที่สูง ส่วนในภาพระยะยาวตลอดทั้งปีนี้แนะนำให้เน้นการกระจายการลงทุน โดยธีมที่น่าสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว แนะนำ 4 กลยุทธ์ที่น่าสนใจ ดังนี้
- Value Stock เน้นหุ้นที่มูลค่ายังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานและมีศักยภาพเติบโตได้ต่อเนื่อง แนะนำหุ้น AOT, BBL และ CPALL
- Dividend Stock เน้นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตลงทุน แนะนำหุ้น AP, BCP และ LHHOTEL
- Laggard Stock เน้นหุ้นที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นช้า แต่ผลประกอบการในปีนี้เริ่มส่งสัญญาณบวก แนะนำหุ้น BCH, GPSC และ HMPRO
- Mid-Small Cap Growth เน้นหุ้นที่กำไรจะเติบโตดีและมี Upside Risk แนะนำหุ้น AMATA, AU และ INSET
ภาพ: WDgraph / Shutterstock