ศึกชิงแชมป์ส่งออกทุเรียนไปจีนยังไม่จบ แม้ไทยยังเป็นผู้นำอันดับ 1 หวั่นเสียตำแหน่งให้เวียดนาม โจทย์ใหญ่ไทยเร่งขยายพื้นที่ปลูก-คุมคุณภาพ ด้าน NTF เผย ตลาดส่งออกยังมีช่องว่าง แม้ไทยและเวียดนามแข่งกันส่งออกไปเท่าไรก็ไม่พอ เพราะชาวจีนโปรดปรานทุเรียนมากขึ้น โดยเฉพาะเกรดพรีเมียม
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าราชาผลไม้ ‘ทุเรียน’ ถูกปากชาวจีนอย่างมาก แถมนับวันความนิยมยิ่งเพิ่มขึ้นจนเริ่มปลูกทุเรียนไว้กินเองในประเทศ แต่สุดท้ายผู้บริโภคยังหลงใหลทุเรียนจากไทย สอดรับกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่วิเคราะห์ว่า ภาพรวมการส่งออกทุเรียนไทยไปจีนปี 2567 เติบโต 12% แม้จะลดลงจากปีก่อนที่โต 30% เพราะมีเวียดนามเข้ามาเป็นคู่แข่งส่งออกทุเรียนมากขึ้น
เมื่อย้อนดูตัวเลข ไทยยังครองแชมป์ส่งออกทุเรียนสดไปจีนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คิดเป็นมูลค่า 717 ล้านดอลลาร์ หรือราว 26,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเวียดนามที่มีตัวเลขการส่งออกที่ 79,186 ตัน มูลค่า 369 ล้านดอลลาร์ ส่วนมาเลเซียสัดส่วนส่งออกทุเรียนสดยังน้อยมาก เพราะเพิ่งเริ่มส่งออกทุเรียนสดไปจีนเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- กาแฟแพงขึ้นอีกจากปรากฏการณ์เอลนีโญ กระทบผลผลิตเมล็ดกาแฟในเวียดนาม ด้านชาวสวนเริ่มหันไปปลูกทุเรียนแทน
กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของไทยที่จะต้องหาวิธีรักษาแชมป์ส่งออกทุเรียน หลังจากเวียดนามและมาเลเซียกลายเป็นตัวเลือกใหม่ของผู้บริโภคชาวจีนไปแล้ว
ปัจจุบันหลายประเทศที่ได้รับอนุญาตส่งออกทุเรียนไปจีนได้ขยายพื้นที่เพาะปลูก โดยเฉพาะเวียดนาม เกษตรกรในหลายพื้นที่เลิกปลูกกาแฟแล้วหันมาปลูกทุเรียนแทน
รวมถึงนักลงทุนหลายรายเข้าไปทำสวนทุเรียนใน สปป.ลาว มากขึ้น เพราะมีสภาพอากาศที่เหมาะสมไม่ต่างจากไทยและมีพื้นที่ขนาดใหญ่ แม้ สปป.ลาว ยังไม่มีใบอนุญาตส่งออกทุเรียน แต่ถ้าปลูกแล้วรสชาติดี มีคุณภาพ และยิ่งมีรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมระหว่าง สปป.ลาว และจีน ก็ยิ่งได้เปรียบในการขนส่ง
THE STANDARD WEALTH มีโอกาสสัมภาษณ์ วิชัย ศิระมานะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (NTF) หนึ่งในผู้นำการส่งออกผลไม้สดเกรดพรีเมียม กล่าวว่า ภาพรวมส่งออกทุเรียนไทยไปจีนมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากข้อมูลล่าสุดในเดือนกันยายน 2567 มูลค่าส่งออกอยู่ที่ 1.3 แสนล้านบาท ถ้าเทียบกับปีที่ผ่านมา มูลค่าส่งออกทุเรียนอยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท
สะท้อนว่าตลาดมีช่องว่างให้เข้าไปสร้างการเติบโตอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคจีนที่มีจำนวนหลายล้านคนนิยมกินทุเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจีนแล้ว ชาวยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย ก็เริ่มนิยมทุเรียนด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะทุเรียนไทยที่มีจุดแข็งของชนิดพันธุ์ รสชาติ และมีคุณภาพพรีเมียม จนได้รับการขนานนามว่าเป็นราชาผลไม้มานาน
ถึงกระนั้นปัจจุบันการส่งออกของ NTF คิดเป็นเพียง 1% ของตลาดส่งออกทุเรียนทั้งหมด ผ่านแบรนด์ Mei Li, Tai Ji, Jin Yan และ Tai Ting Hao กระจายไปตามเมืองต่างๆ เช่น กวางเจา เจียซิง และปักกิ่ง ซึ่งเป็นตลาดที่มีปริมาณการซื้อขายผลไม้ใหญ่ที่สุดของโลก
โดยบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าแบ่งเป็นทุเรียน 90% มีกำลังการผลิตปีละ 500 ตู้ ตู้ละ 16-18 ตัน หรือประมาณ 16,000-18,000 กิโลกรัมต่อตู้ ตามด้วยลำไย 8% กำลังการผลิตปีละ 300 ตู้ ตู้ละ 24-25 ตัน หรือประมาณ 24,000-25,000 กิโลกรัมต่อตู้ และอีกประมาณ 2% เป็นมะพร้าวและผลไม้อื่นๆ
แม้ปัจจุบันบริษัทจะมีพันธมิตรผู้ผลิตผลไม้จำนวน 10 โรงงาน ตั้งอยู่ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ชุมพร ศรีสะเกษ ลำพูน และราชบุรี โดยแต่ละโรงงานจะมีพนักงานของบริษัทตรวจสอบและควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอนเพื่อให้ได้คุณภาพมาตรฐานตามคำสั่งซื้อของลูกค้า ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของสินค้าเกรดพรีเมียม
แต่ทั้งหมดยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ทำให้บริษัทต้องจัดหาสินค้าให้เพียงพอต่อคำสั่งซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี และจริงๆ แล้วประเทศไทยเรามีการขยายพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนทุกปี ด้วยภูมิประเทศและสภาพอากาศที่เหมาะสมกับการปลูก
วิชัยฉายภาพต่อถึงทิศทางการดำเนินงานต่อจากนี้ ธุรกิจส่งออกเราต้องเน้นควบคุมคุณภาพเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของทุเรียนไทยและขยายการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะยุโรปและอเมริกา ซึ่งเราประเมินว่าภาพรวมตลาดส่งออกทุเรียนภายใน 5 ปีนี้ยังเติบโตเพิ่มขึ้น
อย่างที่ทราบกันดีว่าประเทศที่ส่งออกทุเรียนหลักๆ นอกจากไทยแล้วยังมีเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และในอนาคตจะมีอินโดนีเซียเข้ามาชิงส่วนแบ่งกันมากขึ้น ส่วนที่มีกระแสข่าวว่านักลงทุนจีนเข้าไปปลูกทุเรียนใน สปป.ลาว เพื่อส่งออกไปยังจีนนั้น คาดว่าต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะพื้นที่เพาะปลูกใน สปป.ลาว มีจำกัด แต่ด้วยปริมาณทั้งหมดถ้าเทียบกับการเติบโตของตลาดทุเรียนทั่วโลก มองว่าสุดท้ายทุเรียนก็ยังไม่เพียงพอ เพราะตลาดที่ส่งออกทั้งหมดนอกจากจะเน้นส่งออกแล้วยังมีการบริโภคในประเทศด้วย
สำหรับ NTF เริ่มทำธุรกิจส่งออกผลไม้มาเป็นระยะเวลา 4 ปี ในทุกๆ ปีผลประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยปี 2563 บริษัทมีรายได้จำนวน 14 ล้านบาท ตามด้วยปี 2564 มีรายได้ 184 ล้านบาท ปี 2565 มีรายได้ 351 ล้านบาท และปี 2566 มีรายได้ 561 ล้านบาท ส่วนในปี 2567 บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท
และในปี 2568 NTF มีแผนเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อนำมาเป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจและเพิ่มโอกาสทางการค้า และต่อยอดธุรกิจในอนาคต โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการจัดเตรียมไฟลิ่งเพื่อนำเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
สุดท้ายแล้วทุเรียนถือเป็นผลไม้ที่มีราคาสูงในตลาดจีนและเป็นที่นิยมในกลุ่มคนกำลังซื้อสูง จากการสำรวจราคาทุเรียนพบว่าทุเรียนหมอนทองไทยในซูเปอร์มาร์เก็ตจีนมีราคาปลีก 120 หยวนต่อกิโลกรัม หรือราว 600 บาทต่อกิโลกรัม ตามด้วยก้านยาวที่มีราคาปลีก 60 หยวนต่อกิโลกรัม หรือราว 300 บาทต่อกิโลกรัม