ในบรรดาแท็บเล็ตบนโลกใบนี้ หนึ่งในตระกูลที่มีแฟนคลับจำนวนไม่น้อยคือ iPad mini ที่เป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างมาก แต่ปัญหาคือดูเหมือน Apple จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับรุ่นนี้มากเท่าไรนัก
และนั่นทำให้เราต้องรอคอยนานถึง 3 ปีกว่าที่จะได้พบกับ iPad mini รุ่นใหม่ใน Gen 7 (2024) ก่อนจะพบว่าการกลับมาพบกันใหม่ในครั้งนี้เราแทบไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยเมื่อมองจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นขนาดหน้าจอ ขอบจอ ไปจนถึงปุ่มต่างๆ
แต่ก็ตามสไตล์ Apple ในยุคของ ทิม คุก สิ่งที่เหมือนเดิมไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป
หัวใจสำคัญของ iPad mini 7 และเป็นเหตุผลที่ทำให้น้องน้อยผู้ถูกลืมได้โอกาสในการกลับมาอัปเดตเป็นหนแรกในรอบ 3 ปีครั้งนี้ คือการอัปเกรดเพื่อให้รองรับ iPadOS 18 และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Apple Intelligence ฟีเจอร์สุดอัจฉริยะนั่นเอง ทำให้ Apple มีการอัปเกรดชิปประมวลผลให้เจ้าน้องเล็กรอบใหม่โดยใช้ชิป A17 Pro ที่เร็วกว่ารุ่นที่แล้วถึง 2 เท่า
ถึงแม้ว่าชิปนี้จะเป็นของเก่าจาก iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max แถมยังมีการปรับจูนใหม่โดยลดจำนวน CPU เหลือแค่ 5-Core (จากเดิม 6-Core) แต่ก็ถือว่าเป็นชิปประมวลผลที่ทรงพลังอย่างแรง (CPU 6-Core, Neural Engine 16-Core)
และสามารถนำมาใช้งานได้จริงอย่างหลากหลาย ให้สนุกไปกับฟีเจอร์ต่างๆ ของ Apple Intelligence ไม่ว่าจะเป็นการใช้ ChatGPT, Writing Tools, Siri ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ไปจนถึงการแต่งภาพได้ราวกับมืออาชีพ (แค่ถูๆ ก็ลบสิ่งของหรือคนที่ไม่ต้องการออกจากภาพได้แล้ว แต่ลบความทรงจำไม่ได้นะ)
เท่าที่ได้ลองใช้ถือว่าใช้งานได้ดีทีเดียว ถึงตัวจะเล็กแต่ประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งตอบโจทย์กับการใช้งานในสถานการณ์จริงและช่วยให้ iPad mini มีประโยชน์มากขึ้นอีกเพราะประสิทธิภาพสูงมากพอสำหรับการทำงานที่ยากขึ้น ตั้งแต่การท่องเว็บ งานเขียน
ไปจนถึงการนำมาใช้ตัดต่อวิดีโอที่จัดว่าเหมาะสำหรับครีเอเตอร์สมัยใหม่ที่ไม่อยากแบกอะไรหนักๆ เพราะแม้ว่าหน้าจอ (อัตรารีเฟรช 60 Mhz) ของ iPad mini จะมีขนาดเล็ก แต่พอใช้ได้สำหรับการทำงานดังกล่าวอยู่แล้ว ยกเว้นแต่ผู้มีปัญหาสายตายาวก็อาจจะต้องมีการปรับขนาดฟอนต์ให้ใหญ่ขึ้นสักหน่อย
ในส่วนของการใช้งานเพื่อความบันเทิง การเล่นเกมบน iPad mini 7 ถือว่าน่าประทับใจ อย่างที่บอกว่าใช้ชิปประมวลผล A17 Pro ซึ่งรองรับ Ray Tracing ด้วยทำให้สามารถเล่นเกมในระดับ AAA ได้อย่างสบายๆ และเห็นได้ชัดมากกว่าการเล่นบน iPhone
ขณะที่การดูภาพยนตร์นั้นถึงจะไม่เต็มอิ่มเท่า iPad Air หรือ iPad Pro หรือแม้แต่ iPad Gen 10 แต่สำหรับคนที่เดินทางบ่อยๆ การมีเจ้าตัวเล็กติดไว้ก็ดีต่อใจไม่น้อยในการช่วยให้มีอะไรทำในระหว่างทางโดยที่ไม่ต้องแบกหนักจนเหมือนเป็นภาระที่มากเกินไป
อย่างไรก็ดี ปัญหาคลาสสิกสำหรับ iPad mini ตั้งแต่ Gen 6 คือเรื่อง Jelly Scrolling หรือภาพสั่นไหวในเวลาที่มีการสไลด์หน้าจอแบบเร็วๆ นั้นเหมือนจะยังมองเห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้กระทบกับการใช้งานมากขนาดนั้น แค่ถ้าสังเกตเห็นก็อาจจะมีความขัดใจอยู่บ้าง แต่บางครั้งเรื่องต่างๆ บนโลกใบนี้ จบที่เราอาจจะเบาที่สุด
สิ่งที่น่าสนใจคือ iPad mini 7 มีส่วนอื่นที่มีการปรับปรุงแบบเงียบๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ eSIM แทนการใช้ SIM จริงๆในรุ่น WiFi+Cellular, กล้องใหม่ที่รองรับ HDR 4 และมี AI ด้วย, การใช้งานร่วมกับ Apple Pencil Pro ที่ดีขึ้น, WiFi 6E ที่ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นที่แล้ว 2 เท่า ทำให้ดาวน์โหลดไฟล์หรือสตรีมภาพยนตร์ได้ไวกว่าเดิม และพอร์ต USB-C ที่เร็วขึ้น 2 เท่าจากรุ่นก่อน
และที่สำคัญที่สุดคือความจุที่เพิ่มขึ้น โดยรุ่นเริ่มต้นใน Gen 7 ความจุเพิ่มจาก 64GB เป็น 128GB ในสนนราคาเดิมคือเริ่มต้นที่ 17,900 บาท (และ 23,900 สำหรับ WiFi+Cellular)
และถ้ายังไม่พอก็สามารถเลือกความจุ 256GB หรือ 512GB ได้ด้วย ส่วนสีนอกจากสีพื้นฐานอย่าง Space Gray และ Starlight แล้ว ยังมีสีฟ้าและสีม่วง (เฉดใหม่) ให้เลือกด้วย พร้อมอุปกรณ์เสริมที่เกิดมาคู่กันอย่าง Smart Folio
ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงจะไม่ได้ยิ่งใหญ่มาก แต่สำหรับสาวกของ iPad mini ที่หลงรักความตัวเล็กตัวน้อยก็ต้องบอกว่าการอัปเกรดครั้งนี้ดีกว่าไม่มี และเหมาะจะเป็นของขวัญสำหรับตัวเองในช่วงส่งท้ายปี โดยเฉพาะคนที่ใช้งานใน Gen 5 ขึ้นไป นี่อาจเป็นจังหวะที่เหมาะสมแล้ว แต่สำหรับคนที่ใช้ Gen 6 ข้าวยากหมากแพงแบบนี้ก็อาจจะไม่ถึงกับจำเป็นสักเท่าไรนัก