ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดอีคอมเมิร์ซอาเซียน เวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นดาวรุ่งด้วยอัตราการเติบโตที่โดดเด่น ยอดใช้จ่ายออนไลน์ทะลุพันล้านดอลลาร์ต่อเดือน สะท้อนให้เห็นถึงพลังการบริโภคของตลาดที่มีประชากรกว่า 100 ล้านคน ไปรษณีย์ไทยจึงไม่รอช้าที่จะคว้าโอกาสทองครั้งนี้ ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับการไปรษณีย์เวียดนามในการพัฒนาระบบขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด มองว่าเวียดนามเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุปโภคบริโภค การเติบโตของภาคค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซในเวียดนามยังได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติที่ทยอยเข้ามาลงทุนจนติดอันดับ 1 ใน 10 ตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดของโลก
เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว ไปรษณีย์ไทยได้วางแผนการขนส่งผ่าน 3 เส้นทางหลัก ได้แก่ เส้นทางอากาศตรงสู่ฮานอยและโฮจิมินห์ผ่านเที่ยวบินการบินไทย ซึ่งเป็นเส้นทางที่รวดเร็วและปลอดภัยที่สุด เส้นทางภาคพื้นผ่านกัมพูชาที่เพิ่งกลับมาเปิดให้บริการในปี 2567 หลังจากต้องระงับไประหว่างสถานการณ์โควิด
และเส้นทางรถไฟในอนาคตที่จะเชื่อมไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม ผ่านเส้นทาง R12 จากนครพนมสู่โครงการเศรษฐกิจหวุงอ่าง ซึ่งสามารถต่อเชื่อมไปยังมณฑลกว่างซีของจีนได้อีกด้วย
ความร่วมมือครั้งนี้ยังได้ขยายวงกว้างสู่การก่อตั้ง Regional ASEAN Post Alliance (RAPA) ร่วมกับไปรษณีย์อินโดนีเซีย พร้อมด้วยพันธมิตรด้านเทคโนโลยีอย่าง PayTech จากเวียดนาม และ Kota จากสิงคโปร์ โดยมุ่งพัฒนา 4 ด้านสำคัญ ได้แก่
- การเชื่อมโยงระบบการค้าออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างประสบการณ์การซื้อขายที่ไร้รอยต่อ
- การพัฒนาโมเดลโลจิสติกส์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ
- การพัฒนาระบบชำระเงินผ่าน QR Code ที่ใช้งานได้ทั้งสองประเทศ
- การขยายตลาดอีคอมเมิร์ซสู่เวทีโลก ผ่านการสร้างแบรนด์ร่วมกัน
ไฮไลต์สำคัญของความร่วมมือนี้คือการพัฒนาแพลตฟอร์ม RAPA shop ที่จะเป็นสะพานเชื่อมสินค้าไทย-เวียดนามสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะสินค้าศักยภาพอย่างกาแฟ ผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวและของที่ระลึก อาหารแปรรูปและเครื่องดื่มสุขภาพ เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม รวมถึงสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงที่กำลังได้รับความนิยมในตลาดออนไลน์
ทั้งนี้ คาดว่า RAPA shop จะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2568 โดยจะช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้กับการไปรษณีย์ทั้งสองประเทศผ่านค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มและบริการขนส่งแบบครบวงจร
นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาความร่วมมือในด้านโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน เช่น การเชื่อมโยงระบบคลังสินค้า การใช้เทคโนโลยีขนส่งขั้นสูง และการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างบุคลากรของทั้งสองประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการและการบริหารจัดการทรัพยากร
การผนึกกำลังครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับบริการไปรษณีย์ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศการค้าดิจิทัลที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน เป็นการเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สำหรับผู้ประกอบการทั้งสองประเทศ และวางรากฐานสำคัญในการผลักดันให้ไทยและเวียดนามก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าอีคอมเมิร์ซแห่งอาเซียนในอนาคตอันใกล้