เมื่อวานนี้ (17 พฤศจิกายน) สีจิ้นผิง พบ โจ ไบเดน ในการประชุม APEC ที่ประเทศเปรู โดยถือเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของทั้งคู่ ก่อนที่สหรัฐฯ เตรียมผลัดใบสู่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
หลังจากนี้นานาประเทศต้องจับตาความสัมพันธ์ของนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองที่ทรัมป์ประกาศอย่างแข็งกร้าวต่อจีน ท่ามกลางการหารือครั้งนี้ที่ได้เน้นย้ำว่าจีนและสหรัฐฯ จะต้องเคารพซึ่งกันและกัน
นโยบายที่ทรัมป์ประกาศอย่างแข็งกร้าวต่อจีนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตจะร้อนแรงมากขึ้นแค่ไหนภายใต้ทรัมป์ 2.0
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ผู้นำจีนได้ใช้โอกาสจากการพบปะกันครั้งสุดท้ายกับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อส่งสารถึง โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจีนต้องการเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ แต่ก็พร้อมที่จะต่อสู้หากจำเป็น
โดย โจ ไบเดน ในวัย 81 ปี เตรียมลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ในเดือนมกราคม 2025 ผู้นำจีนจึงใช้การพบปะกันครั้งนี้เป็นโอกาสในการชี้แจงแนวทางที่มีต่อ โดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อปูทางให้ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้งสองประเทศให้อยู่ร่วมกันได้
โดย สีจิ้นผิง เน้นย้ำว่า “สหรัฐฯ และจีนไม่ควรทำสงครามเย็นครั้งใหม่ และความขัดแย้งระหว่างทั้งสองก็ไม่ใช่เรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
ผู้นำจีนยังคงย้ำถึง ‘เส้นแดง 4 เส้น’ (Four Red Lines) ของจีน โดยส่งสัญญาณว่าทรัมป์ต้องหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะบ่อนทำลายอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ การพยายามผลักดันประเทศให้ก้าวไปสู่ประชาธิปไตย ควบคุมการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือส่งเสริมเอกราชในไต้หวัน สื่อของรัฐบาลจีนอ้างอิงถึง ‘เส้นแดง 4 เส้น’ โดยกล่าวว่านี่คือวาระสำคัญต่อความสัมพันธ์ในอนาคต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- วิเคราะห์โค้งสุดท้าย ‘ทรัมป์-แฮร์ริส’ ใครจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป ไทยได้-เสียประโยชน์แค่ไหน เรื่องอะไรบ้างที่คนไทยต้องรู้
- อินโดนีเซีย-สปป.ลาว กำลังจะเป็นฐานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ใหม่ของทุนจีน หลังเลิกจ้าง ลดกำลังผลิตในเวียดนามเพื่อเลี่ยงขึ้นภาษีสหรัฐฯ และก่อนที่ทรัมป์จะคัมแบ็ก
แถลงการณ์อันยาวนานของสีจิ้นผิงหลังจากการสนทนาอำลากับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งในเวลาอันใกล้ แสดงให้เห็นว่าจีนกำลังหวังเปิดทางเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดระหว่างกัน
ในขณะเดียวกันก็เตรียมรับมือกับสิ่งเลวร้ายที่สุดเช่นกัน เนื่องจากทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนมากถึง 60% และเลือกใช้ผู้มีแนวคิดหัวรุนแรงหลายคนเป็นหัวหน้าทีมนโยบายต่างประเทศของเขา รวมถึง มาร์โก รูบิโอ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และ ไมเคิล วอลซ์ เป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ
สีจิ้นผิงมุ่งเจรจาประเด็นเศรษฐกิจ
ถ้อยคำของสีจิ้นผิงสะท้อนให้เห็นว่าจีนเปิดกว้างต่อการเจรจาเกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจมากขึ้น รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน ซึ่งปักกิ่งขู่ว่าจะยึดครองด้วยกำลังหากจำเป็น โดยหลังจากเจรจากับไบเดนในครั้งนี้ สีจิ้นผิงได้เรียกชื่อผู้นำไต้หวันเป็นครั้งแรก โดยกล่าวว่าสหรัฐฯ ควรมองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของ ไล่ชิงเต๋อ อย่างชัดเจนในการแสวงหาเอกราช
ดังนั้นประเด็นร้อน ‘ทะเลจีนใต้’ สีจิ้นผิงจึงได้เตือนสหรัฐฯ ให้หลีกเลี่ยงข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นพันธมิตรในสนธิสัญญาของสหรัฐฯ และเรียกร้องให้ไบเดนยุติการให้ความช่วยเหลือ
นอกจากนี้แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยชื่อประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตาม สีจิ้นผิงยังวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของสหรัฐฯ ต้องการกีดกันจีนให้ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยได้
อย่างไรก็ตาม รายงานการประชุมของทำเนียบขาวระบุว่า ผู้นำทั้งสองเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการด้านการแข่งขันของความสัมพันธ์อย่างมีความรับผิดชอบ เช่นเดียวกับการป้องกันความขัดแย้งและรักษาการสื่อสาร
สีจิ้นผิงยังพยายามอธิบายจุดยืนที่สหรัฐฯ ควรมีต่อจีนมากกว่าในอดีต รายงานของจีนมีคำว่า ‘ไม่’ ถึง 6 ครั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับ 4 ครั้งหลังจากที่สีจิ้นผิงพบกับไบเดนที่บาหลี โดยระบุว่า “สหรัฐฯ ต้องไม่แสวงหาสงครามเย็นครั้งใหม่ ไม่พยายามเปลี่ยนแปลงระบบของจีน พันธมิตรไม่ได้ตั้งเป้าไปที่จีน ไม่สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน ไม่แสวงหาความขัดแย้งกับจีน และไม่มองว่านโยบายไต้หวันเป็นหนทางที่จะแข่งขันกับจีน” ซึ่งต้องติดตามดูต่อไปว่าทรัมป์และสมาชิกคณะรัฐมนตรีจะเห็นด้วยกับจุดยืนดังกล่าวหรือไม่
สำนักข่าว Al Jazeera รายงานว่า คำพูดของสีจิ้นผิงครั้งนี้ดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพรรครีพับลิกันอีกด้วย และสีจิ้นผิงเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ต้อง ‘เคารพซึ่งกันและกัน’
แม้ว่าสีจิ้นผิงจะไม่ได้เอ่ยชื่อทรัมป์ตรงๆ แต่เขายกย่องชัยชนะของทรัมป์ต่อไบเดน และทั้งสองยังได้พูดคุยเกี่ยวกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงนโยบายการใช้อาวุธนิวเคลียร์
โดยผู้นำทั้งสองยืนยันถึงความจำเป็นในการรักษาการควบคุมของมนุษย์ต่อการตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์ต่อไป
ภาพ: Pool / Getty Images
อ้างอิง: