26 เมษายน 2011 ในช่วงพีคของการแข่งขันศึกเอลกลาซิโก ระหว่าง 2 โค้ชแห่งยุคสมัยที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เป็นด้านของฟุตบอลที่สวยงาม เติบโตขึ้นมากับสโมสรอย่างบาร์เซโลนา และเป็นผู้พัฒนา Tiki-taka สไตล์การเล่นที่สวยงามมากที่สุดครั้งหนึ่งของโลกฟุตบอล
ขณะที่อีกด้านหนึ่งของเอลกลาซิโกคือ กาลาคติกอส ภายใต้การคุมของ โชเซ มูรินโญ หนึ่งในกุนซือที่ขึ้นชื่อเรื่องของการเล่นฟุตบอลแบบเน้นผลงาน และการแข่งขันที่หลายครั้งถูกวิจารณ์ว่าเป็น Anti-football
นอกจากพื้นที่การปะทะกันในจุดต่างๆ ของสนามฟุตบอล พื้นที่ซึ่งดุเดือดไม่แพ้กันในเวลานั้นคือการแย่งชิงพื้นที่สื่อ ซึ่ง โชเซ มูรินโญ มักจะเป็นผู้ชนะในสังเวียนนี้หลายต่อหลายครั้ง
แต่ในช่วงเดือนเมษายนของ 2011 เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เป๊ปใช้เวลา พลังงาน และคำพูด ตอบโต้เกมสงครามจิตวิทยาก่อนเกมของมูรินโญกลับไปในรูปแบบที่ชนะใจนักเตะของเขาเป็นอย่างมาก
ในงานแถลงข่าว ก่อนเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2011 รอบรองชนะเลิศระหว่างบาร์เซโลนา กับเรอัล มาดริด ซึ่งมาดริดเป็นฝ่ายเริ่มต้นแถลงข่าวก่อนในเวลา 14.45 น. จากนั้นเวลา 20.00 น. บาร์เซโลนาจะเป็นฝ่ายแถลงต่อ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังเกมนัดชิงชนะเลิศ ศึกโกปา เดล เรย์ ที่มาดริดชนะบาร์เซโลนาไป 1-0 และมีเหตุการณ์ที่เปโดรถูกปฏิเสธประตูเนื่องจากจังหวะล้ำหน้า จนเป๊ปออกมาโจมตีผู้ตัดสินหลังเกมนั้น
นอกจากนี้ยังเป็นเกมเอลกลาซิโกเกมที่ 3 ในรอบ 16 วัน ที่สานต่อความดุเดือดระหว่าง 2 ทีมอย่างต่อเนื่อง
“ผมว่าเราสามารถแบ่งผู้จัดการทีมออกได้เป็น 2 ประเภท” มูรินโญเริ่มงานแถลงข่าวด้วยการโจมตีเป๊ปที่วิจารณ์การตัดสินล้ำหน้าของกรรมการในนัดชิงโกปา เดล เรย์
“มีกลุ่มเล็กๆ ที่ไม่มักจะไม่พูดถึงกรรมการผู้ตัดสินเลย และอีกกลุ่มคือกลุ่มใหญ่ที่ผมมองว่ามักจะพูดถึงกรรมการ วิจารณ์กรรมการเมื่อพวกเขาตัดสินผิดพลาด
“ซึ่งพวกเราก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของพวกเราได้เวลาที่พวกเขาตัดสินผิดพลาด แต่สามารถแสดงความยินดีกับพวกเขา เมื่อพวกเขาตัดสินได้อย่างถูกต้องแล้ว
“แต่ตอนนี้เรามีคนกลุ่มที่ 3 ที่มีสมาชิกเพียงคนเดียว คนคนนั้นคือเป๊ป!
“นี่เป็นยุคสมัยใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกฟุตบอล เพราะกำลังมีคนที่วิจารณ์กรรมการเพราะเขาตัดสินถูกแล้ว!
“คำอธิบายคือ ฤดูกาลแรกของกวาร์ดิโอลาในการโค้ชบาร์เซโลนา เขามีประสบการณ์กับเหตุการณ์อื้อฉาวของผู้ตัดสินในเกมที่พบกับเชลซีในศึกแชมเปียนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเป๊ปก็ไม่พอใจอีกเลยเวลากรรมการตัดสินถูกแล้ว”
มูรินโญร่ายมนตร์ด้วยคำพูด ใช้ทักษะสงครามจิตวิทยาที่เขาเชี่ยวชาญ ไม่มีการพูดถึงว่าเป๊ปแสดงความยินดีกับชัยชนะของเรอัล มาดริด หลังเกมนั้นไม่มีการพูดถึงว่าเป๊ปแทบจะไม่ได้วิจารณ์การตัดสินของกรรมการโดยตรง ไม่มีการพูดถึงว่าเป๊ปวิจารณ์ เพียงแค่เขาพูดหลังเกมว่า “นั่นเป็นการตัดสินที่ห่างไปเพียง 2 เซนติเมตรจากไลน์แมน ที่ทำให้เราไม่ได้ประตูจากเปโดร” แต่เขาเปิดสงครามประสาทกับเป๊ปด้วยคำพูดของเป๊ปเพียงแค่ประโยคเดียว
มูรินโญเชื่อเสมอว่าการแข่งขันฟุตบอลเริ่มต้นตั้งแต่งานแถลงข่าว หนึ่งวันก่อนเกมเริ่ม เขามักจะวางแผนกลยุทธ์ในการสื่อสารเพื่อให้สื่อมวลชนนำไปใช้สื่อสารต่อไปถึงทีมคู่แข่ง ก่อนที่เขาจะเดินยิ้มออกจากงานแถลงข่าว
แต่ครั้งนี้มูรินโญกลับเจอในสิ่งที่เขาเองอาจไม่คาดคิดจากเป๊ป คนที่ปกติแล้วจะเลือกหนทางที่ถูกต้องด้วยการไม่ตอบโต้โดยตรง และมักจะให้เกียรติคู่ต่อสู้ในพื้นที่สื่ออยู่เสมอ แต่แค่วันนี้เป๊ปไม่ได้คิดแบบนั้น
เขาและนักเตะใช้เวลาช่วงบ่ายวันนั้นดูแถลงข่าวของมูรินโญผ่านโทรทัศน์แบบถ่ายทอดสด หลายคนในห้องนั้นแนะนำว่า นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดที่บาร์เซโลนาต้องโฟกัสที่การพูดถึงฟุตบอลเพียงเท่านั้น และเตือนกวาร์ดิโอลาถึงสิ่งนี้ หลังจากได้เห็นการแสดงครั้งสำคัญของมูรินโญในงานแถลงข่าว
เริ่มต้นงานแถลงข่าวฝั่งบาร์เซโลนา ฮาเวียร์ มาสเคราโน เริ่มต้นก่อน และโฟกัสที่การพูดถึงแต่ฟุตบอลกับสภาพสนาม ก่อนที่เป๊ปจะเอามือตบหลังนักเตะของเขาเบาๆ และบอกว่า “ทำได้ดีมาก” เพราะเป๊ปรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะตอบโต้มูรินโญในวันนี้ที่เขาก้าวข้ามเส้นของความเคารพมา
เริ่มต้นเป็น ดาบิด เบร์นาเบว นักข่าวจากสเปน ถามตรงไปที่เป๊ปว่า
“ผมไม่รู้ว่ามีใครบอกคุณแล้วหรือยังว่า มูรินโญพูดอะไรไปในงานแถลงข่าวเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา แต่ผมจดบางส่วนมาให้
“เขาตกใจที่คุณวิจารณ์กรรมการที่ตัดสินถูกแล้ว ในการพูดถึงจังหวะล้ำหน้าของเปโดรในเกมนัดชิงฟุตบอลถ้วยเมื่อสัปดาห์ก่อน เขายังถามอีกว่าคุณใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไรกับเหตุการณ์อื้อฉาวในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับเชลซีเมื่อ 2 ปีที่แล้ว หรือทั้งหมดเป็นเพราะว่าคุณคุ้นเคยแต่กับกรรมการที่เข้าข้างบาร์ซา?
“เรามีเวลาอีก 24 ชั่วโมงก่อนเกมสำคัญนี้ คุณมีอะไรจะตอบโต้มูรินโญไหม?”
เป๊ปใช้เวลา 2 นาที 27 วินาที พูดตอบกลับไปยังมูรินโญเป็นภาษาสเปน
“อย่างแรกเลย สวัสดีตอนบ่ายทุกคน จากสิ่งที่มูรินโญเลือกที่จะเรียกผมว่า tu (ภาษาสเปนที่แปลว่าคุณ แบบที่ไม่ค่อยสุภาพนัก) และเรียกผมว่าเป๊ปตลอดทั้งการแถลงข่าว ผมก็จะเรียกเขาว่าโชเซในคืนนี้
“ผมไม่รู้ว่ากล้องไหนในห้องแถลงนี้ (เป๊ปกวาดสายตาหากล้องที่เขาจะมองตรงเข้าไปหาแทนที่จะสบตานักข่าวในห้อง)
“พรุ่งนี้ เวลา 20.45 น. เราจะลงสนามไปเล่นฟุตบอล แต่นอกสนามฟุตบอลนั้นโชเซชนะไปแล้ว เขาเก็บชัยชนะได้ตลอดทั้งปี ตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา และเขาก็ยังจะชนะต่อไปในอนาคต
“ผมรู้สึกมีความสุขมากที่จะมอบถ้วยแชมเปียนส์ลีกนอกสนามส่วนตัวให้กับเขา เขาสามารถพกมันกลับบ้านและไปมีความสุขกับผลงานอื่นๆ ของเขา
“สำหรับเรา เรามาเพื่อเล่นฟุตบอล เราอาจชนะหรือแพ้ ปกติเขาชนะ เหมือนกับที่ประวัติส่วนตัวเขาเป็นมาตลอด แต่เราจะขอหยุดอยู่ที่ชัยชนะที่เล็กกว่านั้น
“ชัยชนะที่สร้างแรงบันดาลใจให้ได้รับคำยกย่องจากทั่วโลกและทำให้เราภูมิใจ ผมสามารถจะผลิตคำบ่นและคำวิจารณ์ให้พวกคุณได้ แต่เราก็จะไม่มีวันจบงานแถลงนี้
“เขาพูดถึงเหตุการณ์ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ และผมเดาว่าเราสามารถยกตัวอย่างที่เรามองว่าไม่ยุติธรรมขึ้นมาได้กว่า 250,000 กรณี แต่เราไม่มีผู้ช่วย หรืออดีตผู้ตัดสิน หรือผู้บริหารในทีมของเราที่จะมานั่งบันทึกข้อมูลเหล่านั้นให้กับเรา
“ดังนั้นเราเหลือแค่สิ่งเดียวที่ทำได้ คือก้าวออกไปเล่นฟุตบอลในเวลา 20.45 น. ของวันพรุ่งนี้ และพยายามจะชนะด้วยการเล่นฟุตบอลที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้
“ในห้องแถลงนี้ เขานั่นแหละเป็นบอสใหญ่ หัวหน้าใหญ่
“เขารู้หนทางในโลกนี้ดีกว่าใครทุกคน ผมไม่อยากแข่งกับเขาในสนามนี้ แม้ว่าจะแค่วินาทีเดียวก็ตาม
“ผมอยากจะเตือนเขาแค่ว่า เราเคยอยู่ด้วยกัน เขากับผม เป็นเวลา 4 ปีที่บาร์เซโลนา เขารู้จักผมและผมรู้จักเขา นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม
“ถ้าเขาเลือกที่จะใช้คำแถลงและคำกล่าวอ้างจากสื่อหนังสือพิมพ์ของนักข่าวที่เป็นเพื่อนของ ฟลอเรนติโน เปเรซ เกี่ยวกับโกปา เดล เรย์ และเลือกพูดถึงความสัมพันธ์แบบเพื่อน ผมจะบอกว่าไม่เลย ไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นเพื่อนร่วมงาน เขากับผมตอนนั้น
“เขาจะอ่านเกี่ยวกับอัลเบิร์ต (ตอนนั้นมูรินโญชอบอ้างถึงโควตคำพูดจาก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับนักเตะของเขา) ให้เขาทำไปด้วยอิสระอย่างเต็มที่ หรือปล่อยให้เขาอ่านข่าวจากนักข่าวที่เป็นพวกของ ฟลอเรนติโน เปเรซ และหาข้อสรุปจากข้อมูลเหล่านั้นก็ได้
“ผมจะไม่อธิบายตัวเอง ผมบอกแล้วเราแพ้เพียงเพราะรายละเอียดเล็กน้อย เพราะสายตาของกรรมการผู้ตัดสินที่มองเห็นอย่างถูกต้อง คืนนั้นผมแค่แสดงความยินดีกับเรอัล มาดริด กับชัยชนะของพวกเขาเหนือทีมที่ดี ทีมที่ผมภูมิใจที่จะเป็นโค้ช
“ดังนั้น โชเซ ผมไม่รู้ว่ากล้องไหนที่จะส่งตรงไปหาคุณ แต่เราพร้อมแล้ว ไปลุยกัน”
ตั้งแต่มูรินโญก้าวเข้ามาคุมทีมเรอัล มาดริด สื่อสเปนหลายคนชื่นชอบเขา ส่วนหนึ่งก็เพราะความเป็น Special One รวมถึงการพูดถึงสโมสรอย่างบาร์เซโลนาอย่างต่อเนื่อง จน เคราร์ด ปิเก้ กองหลังของบาร์ซา ในตอนนั้นยอมรับว่าเขาเบื่อหน่ายกับการต้องตอบคำถามถึงมูรินโญตลอดเวลา
ขณะที่นักเตะของบาร์ซาเองก็ทำตามคำสั่งของสโมสรให้ไม่ตอบโต้ตามกับดักที่มูรินโญวางไว้ในพื้นที่สื่อต่างๆ
ดังนั้นเมื่อเป๊ปตัดสินใจตอบโต้ด้วยความชัดเจนในข้อความว่าพวกเขามีหน้าที่ด้วย คือการต่อสู้ในสังเวียนที่พวกเขาภูมิใจ นั่นคือสนามฟุตบอล จึงเป็นการตอบโต้ในสนามที่นักเตะรอคอยมานาน นั่นคือบนพื้นที่สื่อโดยเฮดโค้ชของพวกเขาเอง
ค่ำคืนนั้นมือถือของนักเตะหลายคนปรากฏข้อความขึ้นมาคล้ายๆ กันว่า “เห็นสิ่งที่บอสทำหรือยัง” และกลับไปที่โรงแรมคืนนั้นนักเตะก็ร่วมกันปรบมือให้กับเป๊ป ซึ่งกลายเป็นค่ำคืนที่ยอดเยี่ยมที่สุดคืนหนึ่งของทีม
หลังจากนั้น 24 ชั่วโมง บาร์เซโลนาก็เอาชนะเรอัล มาดริด ไปได้ในเลกแรก 2-0 ก่อนจะยันเสมอได้ 1-1 ในเลกที่ 2 พวกเขาผ่านเข้ารอบชิงฯ ไปเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไปได้ 3-1
ปีต่อมานักเตะหลายคนก็ก้าวขึ้นไปป้องกันแชมป์ยูโรกับทีมชาติสเปนสำเร็จในปี 2012
มีคำกล่าวที่โด่งดังในกีฬาคือ Beat them on the scoreboard หรือ ‘เอาชนะพวกเขาบนป้ายสกอร์’ เป็นวิธีที่หลายครั้งนักกีฬาและทีมเลือกใช้ในการต่อกรกับคู่แข่งที่มีฝีปากกล้า
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป๊ปเลือกทำในวันนั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนอาจแนะนำว่าไม่ควรทำ คือการเลือกสู้ในเกมที่เขาอาจไม่ถนัดนัก นั่นคือสงครามจิตวิทยา
แต่เขาทำไม่ใช่เพื่อเอาชนะเกมนี้ของมูรินโญ แต่เขาทำเพื่อให้นักเตะในทีมของเขาทุกคนเห็นว่า สิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดไม่ใช่ใครพูดได้ดีกว่า เสียงดังกว่า หรือหลักแหลมในคำพูดมากกว่า
แต่ใครต่างหากที่ทำผลงานได้ออกมาดีที่สุดในสนามฟุตบอล
เหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้นกับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา อาจคล้ายกับเหตุผลการแต่งเพลง Dark Necessities ของ Red Hot Chili Peppers ซึ่ง แอนโทนี คีดิส นักร้องนำของวง เปิดเผยถึงเนื้อหาของเพลงนี้ว่า
“ด้านมืดในตัวเรายังมีความงดงาม และความคิดสร้างสรรค์ การเติบโต รวมไปถึงแสงสว่าง อาจเกิดขึ้นจากการต่อสู้อันยากลำบากภายในจิตใจ ที่ปกติแล้วอาจไม่มีใครมองเห็น”