สเปน เผชิญเหตุอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 158 คน ขณะที่ทีมกู้ภัยยังคงทำงานอย่างหนักเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิต ท่ามกลางฝนที่ยังคงกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กว่า 1,200 คนพร้อมด้วยโดรนถูกระดมเข้าช่วยภารกิจกู้ภัย ขณะที่ เปโดร ซานเชซ นายกรัฐมนตรีสเปนเดินทางไปเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบแล้ว
ทีมข่าวของ BBC รายงานว่าเจ้าหน้าที่รับศพและรถบริการงานศพถูกเรียกเข้ามายังพื้นที่ ขณะที่บนถนนใกล้เคียงยังคงมีรถยนต์ที่ถูกกระแสน้ำพัดพามาทับซ้อนกัน ผู้รอดชีวิตหลายคนเล่าว่าต้องหนีขึ้นไปบนต้นไม้หรือสะพาน เพื่อเอาตัวรอดจากคลื่นน้ำที่ไหลทะลักเข้ามาจนเปลี่ยนถนนเป็นแม่น้ำ
ด้านเจ้าหน้าที่ยังไม่เปิดเผยจำนวนของผู้สูญหาย แต่ระบุว่ามี “จำนวนมาก” โดยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักส่วนใหญ่คือเมืองบาเลนเซีย รวมถึงกัสติยา-ลามันชา และบางส่วนทางตอนใต้ของเมืองมาลากา ขณะที่เมืองชีวาที่อยู่ใกล้กับบาเลนเซียได้รับปริมาณน้ำฝนเทียบเท่ากับปริมาณน้ำฝนทั้งปีภายในเวลาเพียง 8 ชั่วโมง ตามข้อมูลจากหน่วยพยากรณ์อากาศของสเปน (AEMET)
ส่วนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหลายแห่งอย่างในเมืองเจเรซ ครอบครัวหลายร้อยครัวเรือนต้องอพยพออกจากบ้าน เนื่องจากน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ทางหลวงและเส้นทางรถไฟที่เชื่อมต่อบาเลนเซียกับส่วนอื่นของสเปนยังคงถูกตัดขาด ส่วนในเขตลาตอร์เรยังคงมีฝนตกลงมาตลอดคืน ทำให้ถนนถูกปกคลุมไปด้วยโคลนอีกครั้ง แต่บางพื้นที่เริ่มทำความสะอาดถนนบ้างแล้ว รวมถึงฟื้นฟูบ้านเรือนและธุรกิจที่ได้รับความเสียหาย
ทั้งนี้ ทางการสเปนประกาศให้มีการไว้อาลัยระดับชาติเป็นเวลา 3 วัน โดยลดธงลงครึ่งเสาที่อาคารของรัฐบาลและจัดนาทีแห่งความเงียบเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม จากเหตุอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ประชาชนออกมาแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติของประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ทำไมถึงไม่สามารถแจ้งเตือนชุมชนหลายแห่งได้ทันเวลา โดยตั้งคำถามว่าเหตุใดหน่วยงานจัดการภัยพิบัติจึงออกประกาศเตือนช้า ซึ่งตามรายงานพบว่าหน่วยงานคุ้มครองพลเรือนไม่ได้ออกประกาศเตือนจนถึงเวลา 20.15 น. ในคืนวันอังคารที่ 29 ตุลาคม ซึ่งเป็นเวลาที่หลายพื้นที่ในบาเลนเซียถูกน้ำท่วมมานานหลายชั่วโมงแล้ว
นักวิจัยด้านสภาพอากาศระบุว่าเหตุการณ์ฝนตกหนักครั้งนี้มีสาเหตุมาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่า ‘โกตา ฟริอา’ ซึ่งมักเกิดในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวในสเปนเมื่ออากาศเย็นตกลงมากระทบน้ำอุ่นในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกทำให้เมฆกักเก็บปริมาณน้ำได้มากขึ้น นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าปริมาณน้ำในเมฆเพิ่มขึ้นเนื่องจากโลกร้อนขึ้นประมาณ 1.1 องศาเซลเซียสนับตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเริ่มต้น และอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากรัฐบาลทั่วโลกไม่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง
ภาพ: Reuters
อ้างอิง: