สิงคโปร์เตรียมบังคับใช้กฎหมายใหม่ที่กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการโทรคมนาคมต้องร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดจาก Phishing Scam โดยกฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการทำธุรกรรมออนไลน์
กฎหมายใหม่นี้เกิดขึ้นจากความพยายามของรัฐบาลสิงคโปร์ในการแก้ไขปัญหา Phishing Scam ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปีที่ผ่านมามีรายงานผู้เสียหายจาก Phishing Scam เพิ่มขึ้นกว่า 30% ในสิงคโปร์ สร้างความเสียหายทางการเงิน และบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในการทำธุรกรรมออนไลน์
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) และสำนักงานพัฒนาสื่อสารมวลชนและสารสนเทศ (IMDA) ร่วมกันจัดทำกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการโทรคมนาคมต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความเสียหาย หากละเลยการปฏิบัติตามหน้าที่ เช่น การไม่ส่งการแจ้งเตือนธุรกรรม หรือการไม่ใช้ตัวกรองสแปม SMS
กฎหมายใหม่นี้กำหนดหน้าที่ที่ชัดเจนสำหรับทั้งสององค์กร เช่น สถาบันการเงินจะต้องส่งการแจ้งเตือนธุรกรรมขาออกให้กับลูกค้า ตรวจสอบธุรกรรมที่น่าสงสัย และให้ความรู้แก่ลูกค้าเกี่ยวกับ Phishing Scam ส่วนผู้ให้บริการโทรคมนาคมต้องใช้ตัวกรองสแปม SMS บล็อก SMS ที่น่าสงสัย และให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด
นอกจากนี้ ธนาคารยังต้องดำเนินการตรวจสอบการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์ เพื่อตรวจสอบว่าบัญชีของลูกค้ากำลังถูกถอนเงินจำนวนมากอย่างรวดเร็วหรือไม่ ซึ่งเกิดจาก Phishing Scam
ตัวอย่างเช่น หากบัญชีของลูกค้าที่มีเงินคงเหลือ 50,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ขึ้นไปถูกโอนเงินออกมากกว่าครึ่งหนึ่งภายใน 24 ชั่วโมง ธนาคารต้องระงับธุรกรรมจนกว่าจะสามารถติดต่อลูกค้าได้ หรือส่งการแจ้งเตือนไปยังลูกค้า พร้อมกับระงับธุรกรรมเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
เนื่องจากมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น ผู้บริโภคต้องเผชิญกับความไม่สะดวกในการทำธุรกรรมการชำระเงินเพิ่มขึ้น เช่น การทำธุรกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายอาจถูกระงับหรือบล็อกในขณะที่สถาบันการเงินพยายามติดต่อลูกค้าเพื่อยืนยันธุรกรรม อย่างไรก็ตาม ความไม่สะดวกนี้ถือเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อแลกกับความปลอดภัยและความมั่นใจในการทำธุรกรรมออนไลน์
อ้างอิง: