แม้ 7-Eleven จะเป็นเจ้าของบัลลังก์ตั่งทองในสังเวียนร้านสะดวกซื้อมูลค่า 5.17 แสนล้านบาท ด้วยการทิ้งห่างคู่แข่งชนิดไม่เห็นฝุ่นด้วยจำนวนร้านทั้งสิ้น 14,545 สาขา ณ สิ้นปี 2567 โดยมีรายได้ 399,558 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 15,403 ล้านบาท แล้วก็ตาม
ทว่าผลงานดังกล่าวยังอาจไม่ใช่สิ่งที่ 7-Eleven พอใจนัก เพราะแม้จะเป็นเจ้าสังเวียนในโลกออฟไลน์ แต่ยุคนี้ผู้คนหันไปซื้อสินค้าในโลกออนไลน์มากขึ้น จนทำให้ 7-Eleven ต้องออกบริการ 7Delivery ที่เป็นการให้บริการสั่งและส่งสินค้าตามความต้องการ (On-Demand Delivery) และ ALL Online ซึ่งได้มีการบอกว่า “กลยุทธ์ดังกล่าวได้รับการตอบรับในระดับดีอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่” ก็ตาม
ล่าสุด 7-Eleven ได้กระโดดเข้าสู่สังเวียน Affiliate Marketing ที่เปิดให้ลูกค้าทั่วไปกลายมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ช่วย 7-Eleven ขายของผ่านช่องทางออนไลน์ของตัวเอง พร้อมให้ค่าตอบแทนเป็นคอมมิชชัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ภูมิทัศน์ค้าปลีกที่เปลี่ยนไป ในวันที่ KOLs/Influencers กลายร่างเป็นร้านสะดวก(ใจจะ)ซื้อ
- กระแสการใช้ ‘อินฟลูเอ็นเซอร์’ กำลังเปลี่ยนไป จากใช้เพื่อสร้างแบรนด์มาเป็น Affiliate Marketing…
7-Eleven อธิบายไว้บนเว็บไซต์ว่า เราคือโปรแกรมที่จะช่วยสร้างรายได้ให้คุณง่ายๆ โดยไม่ต้องลงทุน เพียงสมัครเป็นสมาชิก ALL ONLINE Affiliate จากนั้นเลือกสินค้าที่ต้องการโปรโมต แชร์ลิงก์หรือส่งต่อ QR Code ของสินค้านั้นๆ ไปยังช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook, TikTok, Instagram, X และ YouTube
“เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าผ่านลิงก์ หรือ QR ของคุณ ทุกยอดขายและทุกคำสั่งซื้อคุณจะได้รับค่าคอมมิชชันจากสินค้าที่เรากำหนด” 7-Eleven กล่าวพร้อมระบุว่า ค่าคอมมิชชันจะมีตั้งแต่ 1% จากสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ตไปจนถึง 5% ถ้าเป็นสินค้าสุขภาพ ความงาม ตลอดจนบ้านและสวน
จริงๆ แล้วการกระโดดเข้ามาสู่วงการ Affiliate Marketing ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยสักนิด เพราะ ภวัต เรืองเดชวรชัย President และ CEO บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป จำกัด หรือ MI GROUP ได้ประเมินไว้เมื่อช่วงปลายปี 2566 ว่า “ปีหน้างาน (Affiliate Marketing) จะละเอียดขึ้น เพราะกลุ่มลูกค้าจะซับซ้อนและลงดีเทลมากขึ้น”
ย้อนกลับไปในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในการใช้กลยุทธ์บนโลกออนไลน์ของแบรนด์ต่างๆ คือ การใช้ ‘อินฟลูเอ็นเซอร์’ เป็นกระบอกเสียงเพื่อสร้าง Word of Mouth แต่สำหรับในปี 2567 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ทิศทางการใช้อินฟลูเอ็นเซอร์กำลังเปลี่ยนไป จากสร้างแบรนด์มาเป็นการขายของเพื่อทำเงินมากขึ้น ในยุคที่ลูกค้าควักเงินในกระเป๋าออกยาก
“จากใช้เพื่อสร้างแบรนด์ ส่วนตัวมองว่าต่อไปเทรนด์การใช้อินฟลูเอ็นเซอร์จะขยับไปเป็น Affiliate Marketing มากขึ้น” ภวัตกล่าว “เหตุผลที่เป็นอย่างนั้นเพราะบางคนขายได้เป็นล้านบาทใน 1 วัน ทำให้แบรนด์เห็นยอดขายได้ทันที”
สำหรับการใช้ Affiliate Marketing กับอินฟลูเอ็นเซอร์นั้นขึ้นอยู่กับว่าจะตกลงกันอย่างไร ซึ่งมีทั้งการที่แบ่งเป็นค่าคอมมิชชันในสัดส่วน 5-15% หรือแบ่งตามจำนวนชิ้นที่ขายได้ ตั้งแต่หลักหน่วยไปจนถึงหลักหมื่นก็ยังมีสำหรับสินค้าที่มีราคาแพงมากๆ ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อเทียบกันแล้วเม็ดเงินที่แม้ 7-Eleven ให้นั้นยังไม่ถือว่ามากนัก
อ้างอิงข้อมูลจาก DAAT ล่าสุดปี 2023 เม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดในส่วนของ KOLs / Influencers จัดอยู่ในอันดับ 3 เป็นรองแค่เพียง Meta และ YouTube หรือประมาณ 2,300 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าตัวเลข 2,300 ล้านบาทนี้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของเม็ดเงินว่าจ้าง KOLs / Influencers ซึ่งยังไม่สะท้อนตัวเลขจริงของ KOLs Economy ซึ่งคาดว่าจะสูงกว่านี้เกินเท่าตัว (หรือไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท)
ภวัตได้ประเมินไว้ว่า ข้อดีของ Affiliate Marketing ในมุมของ KOLs / Influencers ที่เข้าร่วมโปรแกรมมีหลากหลายเรื่องทั้ง
- ไม่ต้องลงทุน ไม่ปวดหัวหรือยุ่งยากกับการบริหารจัดการหลังบ้าน เช่น บริหารสต็อก รับออร์เดอร์ และจัดส่ง
- ใช้ทักษะเดิมในการติดต่อสื่อสารกับฐานแฟนของตนเอง เพียงแค่ศึกษาข้อมูลสินค้าหรือบริการให้เป็นอย่างดี หาเทคนิคป้ายยาที่เหมาะสมและโดนใจ
- มีความยืดหยุ่นในการทำงานสูง ไม่ถูกตีกรอบมากนัก
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า KOLs / Influencers ทุกรายจะสนใจและยกระดับตัวเองให้กลายเป็น Affiliators เพราะในข้อดีของการเป็น Affiliators ก็มีข้อเสียที่ KOLs / Influencers กังวลและมองเป็นอุปสรรคหรือตัวขัดขวางโอกาส เช่น
- วัดผลยาก
- เส้นทางของผู้บริโภคในปัจจุบันซับซ้อนขึ้น (ไม่เป็นเส้นตรง) ซึ่งทำให้ Affiliators ไม่สามารถนับยอดขายที่ตนป้ายยาสำเร็จได้ทั้งหมด หากผู้บริโภคสนใจและไปซื้อสินค้านอกระบบที่วัดผลได้
โดยเฉพาะ KOLs / Influencers ในระดับ Celebrity / Mega / Macro ที่เป็นคนดังมีชื่อเสียงหรือมีฐานแฟนจำนวนมาก (500K+) มักจะกังวลว่าหากเข้าร่วม Affiliate Model กับสินค้าหรือแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง ก็จะสูญเสียโอกาสการเป็น Presenter / Brand Ambassador หรืออาจจะเป็นโอกาสในการทำคอลลาบอเรชันกับสินค้าหรือแบรนด์คู่แข่งในหมวดเดียวกันกับที่ตนได้เข้าไปร่วม Affiliate Model
แต่ถึงอย่างนั้นในแง่มุมการใช้ Affiliate Marketing ก็เป็นเรื่องที่นักการตลาดในต่างประเทศให้ความสนใจจนมีสถิติชี้ชัด ได้แก่
- 54% ของนักการตลาดและสื่อสารทางการตลาดให้ความสำคัญกับ Affiliate Marketing เป็นท็อป 3 ของช่องทางหลักในการขาย
- 59% ของเจ้าของสินค้าหรือแบรนด์ใช้ KOLs / Influencers ในการทำ Affiliate Marketing
- 88% ของลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปแล้ว ยอมรับว่าตัดสินใจซื้อจากการโน้มน้าวและป้ายยาโดย KOLs / Influencers ที่ตนชื่นชอบ
ทีนี้ต้องดูว่าการที่ 7-Eleven กระโดดเข้ามาสู่สงคราม Affiliate Marketing จะช่วยสร้างเม็ดเงินได้มากแค่ไหน เพราะอย่าลืมว่ายุคนี้ใครๆ ก็ทำ Affiliate Marketing และใครให้เงินมากกว่า KOLs / Influencers ก็พร้อมจะเทไปทางนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
อ้างอิง:
