×

5 สุดยอดอาหารชะลอวัยห่างไกลโรค ที่แนะนำโดยหมอแอมป์ นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ

21.04.2021
  • LOADING...
5 สุดยอดอาหารชะลอวัยห่างไกลโรค ที่แนะนำโดยหมอแอมป์ นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ

หากใครเป็นคนที่ชอบหาความรู้ด้านสุขภาพ น่าจะได้เห็น ได้อ่าน ได้ฟัง ได้รับความรู้มากมายจาก นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือหมอแอมป์ ผ่านทางสื่อออนไลน์ต่างๆ ทั้งบทความ, พอดแคสต์ (Dr.Amp Podcast), ช่อง YouTube ฯลฯ ซึ่งหมอแอมป์สามารถอธิบายเรื่องยากๆ เกี่ยวกับสุขภาพให้คนฟังหรือผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ พร้อมยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจน ซึ่งผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มักจะคลิกฟังพอดแคสต์ของหมอแอมป์อยู่เสมอ เพราะมีคอนเทนต์เกี่ยวกับการดูแลป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพมากมาย และมีอยู่หนึ่งเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจและเหมาะกับช่วงเวลานี้ นั่นคือ 5 สุดยอดอาหารชะลอวัยห่างไกลโรค ซึ่งเป็นความฝันของใครหลายคนที่ไม่อยากแก่ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการมีสุขภาพที่ดีห่างไกลโรคภัย เราจึงรวบรวมอาหารทั้ง 5 มาส่งต่อผู้อ่าน หวังว่าจะได้รับประโยชน์ดีๆ จากการเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

 

เพื่อเป้าหมายการมีชีวิตที่แข็งแรงและปราศจากโรคภัยได้จากภายในสู่ภายนอก

 

5 สุดยอดอาหารชะลอวัยห่างไกลโรค ที่แนะนำโดยหมอแอมป์ มีดังนี้

 

 

1. ขมิ้นชัน (Curcumin) มีสาร Curcuminoids ซึ่งเป็นเคล็ดลับความพิเศษที่ซ่อนอยู่ในขมิ้นชัน จะมีฤทธิ์ในการบำรุงร่างกาย คือช่วยสารต้านอนุมูลอิสระ เวลาคนเราเครียด นอนน้อย รับประทานอาหารไม่ดี เป็นโรคอ้วน เจอฝุ่นควัน เจอควันพิษ จะก่อให้เกิดสารขึ้นมาตัวหนึ่งที่ทำลายเซลล์ในร่างกายเรา นั่นคือสารอนุมูลอิสระ และต่อที่ต่อต้าน ปัดกวาด ต่อสู้กับสารไม่ดีให้ออกไปจากร่างกายเรา ก็คือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสาร Curcuminoids ในขมิ้นชันนี่เองที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และยังช่วย SOD (Superoxide Dismutase) ช่วยเพิ่มพลังงานในเซลล์ร่างกายในการชะล้างหรือขับของเสียออกไป และเพิ่มการทำงานชะล้างพิษออกจากตับ เพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านไวรัส ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยเรื่องโรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือด และช่วยบำรุงสมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อม

 

ข้อระวัง: การรับประทานขมิ้นชันหรืออาหารอะไรก็ตาม ต้องยึดหลักทางสายกลาง อะไรที่ว่าดี หากรับประทานมากเกินไปก็อาจเป็นพิษได้ เช่น เป็นพิษกับตับ ไต และควรตรวจสอบด้วยว่ามีสารโลหะหนักปนเปื้อนไหม พืชประเภทหัวต้องระวัง เพราะบางทีมีสารหนู ปรอท ตะกั่ว การจะรับประทานต้องปรึกษาแพทย์ หากรับประทานมาเป็นเวลานาน ควรไปเจาะเลือดตรวจดูโลหะหนักในเลือดด้วย และอาจมีผลกับยาที่ทำงานเมตาบอลิซึมผ่าน Cytochrome P450 ซึ่งถ้ารับประทานอย่างเหมาะสมก็จะไม่เป็นไร ควรล้างขมิ้นชันให้สะอาด รับประทานกับน้ำพริก กับแกง รับประทานด้วยการปรุงอาหารแบบวิถีไทย ขมิ้นชันก็ถือป็นยาชนิดหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการบำรุงร่างกาย

 

 

2. ปลา (Fish) ปลาทะเล ปลาน้ำจืด ปลาน้ำลึก เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี ประกอบด้วยสารไอโอดีน, โปรตีน, วิตามิน, เกลือแร่, โอเมก้า 3, วิตามินดี ฯลฯ อย่างปลาน้ำลึกก็จะมันหน่อย ปลาที่อยู่ในทะเลหนาวๆ ก็จะมีไขมันดีอยู่ในปลาเยอะ ซึ่งไขมันดีเหล่านี้เองที่มีส่วนช่วยในการบำรุงหัวใจ แต่ปลาบางชนิดไม่ต้องอยู่น้ำลึกก็มี เช่น ปลาดุก ที่มีไขมันเยอะเช่นเดียวกัน สารโอเมก้า 3 เป็นน้ำมันดีที่ช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ มีการวิจัยมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า การรับประทานปลามีส่วนช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด โดย American Journal of Clinical Nutrition หรือสมาคมโภชนาการของสหรัฐอเมริกา วิจัยไว้ในปี 2008 ว่า คนอเมริกันจำนวน 40,000 กว่าคน ที่รับประทานปลาอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถลดอัตราการเป็นโรคหัวใจได้ถึง 15% และในสารโอเมก้า 3 จะมีอีก 2 สารย่อยๆ อยู่ในนั้นอีก ชื่อว่า EPA และ DHA ตัวนี้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาหัวใจและสายตาของคนเรา ช่วยทั้งบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ และบำรุงสายตา นอกจากนี้ยังเป็นสารที่ช่วยต้านการอักเสบ ลดการอักเสบ โดยเฉพาะคนที่ปวดเข่า ปวดกระดูก ควรรับประทานปลาให้มากขึ้น เพราะมีโปรตีนสูง ไขมันดีเยอะ ไขมันไม่ดีน้อย รับประทานแล้วไม่อ้วน เป็นโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับเนื้ออื่นๆ 

 

ข้อระวัง: ปัจจุบันโรงงานอุตสาหกรรมก่อให้เกิดการปนเปื้อนในทะเล การรับประทานปลานานๆ เข้า อาจจำเป็นต้องไปเจาะเลือดดูโลหะหนักในเลือดด้วย บางคนมาถูกทางแล้วที่เลือกรับประทานปลาบ่อยๆ เพื่อสุขภาพ แต่ไปเจาะเลือดเจอปรอทขึ้น สาเหตุมาจากในน้ำ ในปลา บางทีมีปรอทปนเปื้อนอยู่ ถ้ามีอาการเป็นผื่นแปลกๆ เป็นภูมิแพ้แปลกๆ เหนื่อยง่าย เพลียง่าย ควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบดูว่าในเลือดของเรามีโลหะหนักหรือสารปรอทปนเปื้อนหรือไม่ 

 

 

3. บรอกโคลี (Broccoli) เป็นสุดยอดผักที่มีวิตามินเยอะ มีเกลือแร่เยอะ มีไฟเบอร์หรือเส้นใยเยอะ และมีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะ และที่สำคัญมีโปรตีนด้วย ในบรอกโคลี 1 ถ้วย หรือ 90 กรัม จะมีโปรตีนประมาณ 2.6 กรัม มีไฟเบอร์ประมาณ  2.4 กรัม มีวิตามิน C, A และ K และ B9 มีโพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส, ซีลีเนียม และแคลเซียม 

 

ในบรอกโคลียังมีสารอีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Glucoraphanin สารตัวนี้จะเปลี่ยนไปเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญที่ชื่อว่า Sulforaphane ช่วยชะลอวัย บำรุงผิว บำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายเราป่วยช้าลง และยังมีสารอื่นๆ ที่บำรุงสุขภาพสายตาไปในตัว และมีสารที่ช่วยลดการอักเสบได้ด้วย 

 

Tip: ทุกๆ มื้อของอาหารจำไว้ว่า ควรมีผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่งเสมอ การรับประทานพืชผักเยอะ จะช่วยเรื่องลดน้ำหนัก ลดไขมัน เบาหวาน และสุขภาพทางเดินอาหาร เพิ่มอาหารให้แบคทีเรียชนิดดี หรือโพรไบโอติกในร่างกายของเรา และยังเต็มไปด้วยวิตามิน C ที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในการต่อสู้กับเชื้อไวรัส

 

 

4. มะขามป้อม (Phyllanthus Emblica) มีวิตามิน C สูงมาก ยกตัวอย่างในมะขามป้อม 4 ผลเล็กๆ มีวิตามิน C สูงถึง 100 มิลลิกรัม เท่ากับส้ม 6 ผล หลายคนทราบว่าการต่อสู้กับเชื้อไวรัส เราต้องได้วิตามิน C ที่จะไปเพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดขาว หน่วย NK Cell ช่วยในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดี หลายๆ คนเลือกรับประทานผลไม้ ดังนั้นหมอเลยเลือกผลไม้ 1 ชนิดขึ้นมา ก็คือมะขามป้อมนี่แหละ มีสารออกฤทธิ์พิเศษอีกหลายตัว เช่น สารแทนนิน ที่ทำให้มะข้ามป้อมมีรสฝาด เป็นสารกลุ่มที่ขึ้นชื่อเรื่องต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย ให้ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้ยังมีกรดกลูตามิก, กรดแอสปาร์ติก, อะลานิน, ไลซีน, เควอซีติน ออกฤทธิ์ที่ดี ฯลฯ 

 

 

5. มะละกอ (Papaya) เป็นเวลาพันกว่าปีแล้วที่มนุษย์ใช้มะละกอหมักเนื้อสัตว์ให้นุ่มในการรับประทาน บางคนเคยเรียนว่ามีสารปาเปนอยู่ในมะละกอ ซึ่งเป็นสารช่วยย่อยเนื้อสัตว์ ในมะละกอมีวิตามิน C, A, B1, B3, B5, B9 มีโพแทสเซียม, แมกนีเซียม และยังมีสารแคโรทีนอยด์ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย และมีไลโคปีน เป็นตัวบำรุงร่างกาย ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณ บำรุงสุขภาพหัวใจ โดยเฉพาะเรื่องผิว มีผลวิจัยออกมามากมายในระยะหลังๆ ว่า ช่วยบำรุงผิว ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวไม่ให้เหี่ยวหรือหย่อนคล้อย ลดการอักเสบ หลายๆ บริษัทด้านความงามจึงเอามะละกอไปเป็นส่วนผสมของสกินแคร์ต่างๆ ที่ช่วยบำรงผิวมากมาย เพราะมีฤทธิ์ในการลดความมัน ลดการอักเสบของผิว 

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง: 

  • Dr.Amp Podcast 
FYI

 ปัจจุบัน นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการและผู้อำนวยการ บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก นอกจากนี้ ยังเป็นผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพ และยังเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับขับเคลื่อนและกระตุ้นให้ประชาชนไทยเกิดความตระหนัก และสนใจในการดูแลสุขภาพในเชิงป้องกันโรคมากขึ้น โดยการให้ความรู้ผ่านทางการบรรยาย สมาคม และช่องทางสื่อออนไลน์ต่างๆ 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X