แม้ว่าฤดูหนาวปีนี้อากาศจะไม่ได้เย็นเหมือนปีก่อนๆ แต่บรรยากาศความเฉลิมฉลองรอบข้างก็ยังชวนให้เรานึกขี้เกียจทำงาน ใจมันลุกลี้ลุกลนอยากเก็บกระเป๋าออกไปเดินทาง แต่พอกวาดตามองปฏิทินก็พบว่าวันลาเหลือร่อยหรอไม่พอจะให้หยุด เหลือเพียงเสาร์อาทิตย์สั้นๆ ให้พอได้เดินทางใกล้ๆ
แต่ THE STANDARD อยากบอกว่าไม่จำเป็นว่าต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะหากคุณมีเวลาแค่วันเสาร์-อาทิตย์ เราก็สามารถเดินทางไกล ไม่ต้องบอกเจ้านายหรือเขียนใบลาให้วุ่นวาย แค่เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วทำตามแพลนของเราก็ทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวย ที่สำคัญอย่าลืมเตรียมโทรศัพท์มือถือให้พร้อม ทริปสั้นๆ แบบนี้มีโทรศัพท์ดีๆ ก็เหมือนมีกล้องถ่ายรูปเก่งๆ วันนี้เราเลยหยิบ Huawei Mate 20 Pro ติดมือมา แล้วเรามาดูกันว่า 48 ชั่วโมงในเชียงใหม่ เราทำอะไรได้บ้าง
DAY 1 Into the Wild
หลังจากลงเครื่องรอบเช้ามืด เราก็ถึงเชียงใหม่ราว 6 โมงเช้า แม้อากาศจะไม่ได้หนาวจัดแต่ก็พอสบายตัว นัดรถที่เช่าไว้พร้อมออกเดินทางสู่ ดอยอินทนนท์ เช้าวันนี้เราจะตรงไป เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน
จากตัวเมืองเชียงใหม่เราเดินทางโดยใช้ถนนสายเชียงใหม่-ฮอด (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108) ผ่านอำเภอหางดง และอำเภอสันป่าตอง จากนั้นเลี้ยวขวาตามถนนเส้นจอมทอง-อินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009) และจะเริ่มเข้าเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์โดยเสียค่าเข้าอุทยานคนละ 50 บาท ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะถึงกิ่วแม่ปาน
เสียค่าคนนำทางท้องถิ่นกลุ่มละ 200 บาท หยิบไม้ค้ำที่มีไว้บริการขึ้นมากระชับมือ เตรียมน้ำให้พร้อม สูดลมหายใจให้ลึก แล้วเริ่มเดิน ในช่วงแรกด้วยทางที่สูงชันอาจเหนื่อยเล็กน้อย แต่ขอให้เบนสายตาสำรวจรอบด้านจะพบป่าดิบเขา หรือป่าเมฆที่ครึ้มสูง แดดรำไรที่ลอดผ่านต้นไม้ เฟิร์นหลายชนิด มอสที่ปกคลุมท่อนไม้ที่ล้มขวาง เราสามารถสนุกกับการสังเกตระหว่างทางพร้อมกับการใช้ Huawei Mate 20 Pro ถ่ายหญ้ามอสระยะใกล้ด้วยโหมด Super Macro ที่ห่างจากเลนส์เพียง 2.5 เซนติเมตร
แม้ว่าจะเริ่มเหนื่อยคอแห้งเพราะที่นี่อากาศเย็นตลอดทั้งปี แต่ขอให้อดทนอีกนิด เพราะพ้นจากช่วงป่าเมฆ เราจะเจอทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มีทางเดินเล็กๆ ให้เราเดินเรียงหนึ่งตามไหล่เขา และเมื่อหันหน้าไปทางหน้าผา หากโชคดีเราจะเจอทะเลหมอกขนาดใหญ่โอบล้อมเราเหมือนได้ยืนอยู่บนก้อนเมฆ กว้างและสวยจนลืมเหนื่อย และแทบลืมไปว่านี่ยังไม่ถึงครึ่งทางของการศึกษาเส้นทางธรรมชาติแห่งนี้
ขากลับเราวกเข้าป่าดิบเขาอีกครั้ง พร้อมเส้นทางสูงชันเหมือนขึ้นลงเขาอีก 4 ลูก แต่บรรยากาศที่เราไม่ได้เห็นเป็นประจำทุกวันทั้งต้นไม้แปลกตาสลับกับสะพานไม้ก็ชวนให้เราหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปบ่อยๆ และด้วยความฉลาด Huawei Mate 20 Pro AI ของกล้องจะทำงานทันทีที่เรายกกล้องขึ้นส่องวัตถุ หากข้างหน้าเป็นทะเลหมอกเราก็จะเจอกับโหมด Cloudy หรือถ้าส่องกล้องไปที่ต้นไม้เขียวครึ้ม กล้องก็จะปรับโหมดให้เป็น Greenery โดยอัตโนมัติ
อึดใจใหญ่ กว่าเราจะผ่านเส้นทางศึกษาธรรมชาติร่วม 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าทั้งหมดร่วม 3 ชั่วโมง เหนื่อย แต่ก็ยังไม่หยุด เพราะขับรถลงมาอีกไม่นานเราก็จะพบ น้ำตกวชิรธาร น้ำตกขนาดใหญ่ในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ที่ไม่ต้องเดินให้เหนื่อยเราก็จะปะทะกับหน้าผาสูงชันและมวลน้ำมหึมาที่ทิ้งตัวลงด้านล่าง กระจายละอองน้ำเป็นฝอยปะทะหน้าให้สดชื่น จังหวะนี้ถ้าโทรศัพท์สามารถกันน้ำได้เราก็สามารถหยิบกล้องขึ้นมาโดยไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะเข้าตัวเครื่องแต่อย่างใด
รับประทานอาหารเที่ยงจนอิ่มท้องที่น้ำตกวชิรธาร เราหันหัวรถกลับขึ้นดอยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จากจุดตรวจที่ 2 เราเบี่ยงซ้ายขึ้นอำเภอแม่แจ่ม มุ่งหน้าสู่ตำบลท่าผา แม้จะเป็นเที่ยงวันแต่บางระยะเราก็ยังวิ่งทะลุหมอก ยิ่งสูงทางยิ่งคดเคี้ยวขึ้นเรื่อยๆ จนหมดถนนลาดยางและทางซีเมนต์ เราก็เข้าสู่พื้นดินแดงถมใหม่ที่ค่อยๆ บีบตัวแคบ ไล่ไต่เขาไปตามหมู่บ้าน บางช่วงต้องระวังระยะล้อไม่ให้ตกไหล่ทาง จนในที่สุดเราก็ถึง โกวิทกระท่อมปลายนา ฟาร์มสเตย์เล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างหุบเขา บ้านพักหลังเล็กๆ จำนวน 10 หลัง ทั้งหมดสร้างจากน้ำมือของโกวิท คนหนุ่มอายุ 30 ปี ที่อยากพัฒนาพื้นที่ตัวเองที่มีอยู่แต่เดิมให้เกิดรายได้ แต่ยังรักษาความเงียบสงบของท้องถิ่นเอาไว้ ในฤดูฝนเราจึงได้เห็นนาขั้นบันไดเขียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตา แต่สำหรับฤดูหนาวแบบนี้เราจะเห็นนาโล่งเตียน ที่แทนที่ด้วยแปลงหอมกระเทียม
ถึงอากาศในหุบเขาเย็นตลอดทั้งปีจนอยากกระชับเสื้อหนาวให้แน่นขึ้น แต่เมื่อเดินลัดเลาะคันนาจนเห็นลำธารเล็กๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอาเท้าจุ่มน้ำ หรือบางคนกล้าหน่อยก็กระโดดเล่นก็ไม่ผิดกติกา มื้อเย็นโกวิทเสิร์ฟเราด้วยขันโตกเล็กๆ โดยวัตถุดิบทั้งหมดหาได้จากในฟาร์ม ทั้งผักกาดขาวหวานกรอบ ปลาทับทิมทอด และไข่เจียวจากไก่ที่เลี้ยงเอง พออิ่มท้องก็นอนเขลงอยู่ริมชาน อากาศสบายตัวรอบข้างมืดสนิทและเงียบสงัด ถ้าโชคเข้าข้างฟ้าเปิด เราสามารถมองเห็นดาวเต็มฟ้าอย่างที่ชีวิตประจำวันเราไม่มีโอกาสได้เห็น
DAY 2 Hop Around the Town
เริ่มเช้าที่ไม่เร่งร้อนด้วยการเดินสูดอากาศรอบฟาร์มสเตย์ที่เย็นสดชื่น ก่อนกลับเข้าเมืองเพื่อตะลอนคาเฟ่ อย่างที่เรารู้กันว่าเชียงใหม่เป็นเมืองกาแฟที่มีคาเฟ่โรงคั่วกาแฟดีๆ มากมาย ประกอบกับวัฒนธรรมการนั่งคาเฟ่ที่ไม่ใช่เพียงดื่ม แต่เป็นการดื่มด่ำบรรยากาศ เสพรูปรสของร้านกาแฟที่ดีไซน์ตัวร้านและเมนูมาอย่างดี วันนี้ THE STANDARD ขอพา ‘Cafe Hopping’ เริ่มจากร้านที่เป็นที่รู้จักอย่าง GRAPH Cafe ที่วันนี้เปิดสาขาใหม่เป็น GRAPH one nimman ซึ่งตัวร้านตกแต่งด้วยสไตล์ลอฟต์อินดัสเทรียลที่ผนังทุกด้านเผยให้เห็นอิฐบล็อกดิบๆ แต่เมื่อผสานรวมเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ไม้ และไฟสีส้มก็สร้างความอบอุ่นอย่างลงตัว ที่นั่งขนาดกะทัดรัดกระจายอยู่เต็มร้านพร้อมให้เราฝังตัวนั่งอ่านหนังสือสักเล่ม ส่วนเมนูกาแฟเราขอยกให้ GRAPH เป็นร้านกาแฟสายครีเอทีฟที่ทดลองเอากาแฟไปผสมทดลองจนได้เป็นสูตรเฉพาะของร้าน อย่างเช่นเมนู Monochrome ที่เป็นส่วนผสมของเอสเพรสโซช็อต ชาร์โคล นมสด และกลิ่นวานิลลา
ถัดมาอีกร้านในซอยนิมมานเหมินทร์ 11 เราจะพบกับโรงจอดรถของ Rubber Killer Flagship Store ที่ด้านหน้าคือร้านกาแฟ RK cafe by Omnia รถแคมปิ้งที่ปรับท็อปใหม่ให้กลายเป็นเคาน์เตอร์บาร์สำหรับชงเครื่องดื่มต่างๆ ที่เป็นสูตรเดียวกับ Omnia Cafe&Roastery โรงคั่วกาแฟชื่อดังแห่งเมืองเชียงใหม่
อีกร้านที่อยากให้ลองคือ Live.aday คาเฟ่ที่อยู่ติดกับ a day in Chiang Mai แต่เดิม ที่หลายคนสะดุดตากับกระจกบานใหญ่ที่ถ่ายจากนอกร้านมองเข้าไปเห็นตัวร้านซึ่งตกแต่งอย่างมินิมัลอุ่นด้วยสีขาวและโทนไม้จนหลายคนติดใจร้านนี้เหมือนวาร์ปไปคาเฟ่เท่ๆ ที่โซลมา เพราะนอกจากกาแฟที่มีเมล็ดให้เลือกหลายคาแรกเตอร์แล้ว ยังมีเค้กและขนมหวานสไตล์เกาหลีจำนวนจำกัดต่อวันให้ลองชิมกันด้วย
แม้ร้าน Live.aday จะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่ Huawei Mate 20 Pro ที่เป็นกล้องหลักประจำทริป มีเลนส์ Wide กว้าง ที่ไม่จำเป็นต้องถอยจนสุดตัวก็สามารถถ่ายภาพร้านได้แบบเก็บครบเพียงเลือกระยะ 0.6 ที่ด้านขวาของโหมดที่ใช้ ชิ้นเลนส์ Wide ที่ติดมากับตัวเครื่องก็ทำงานอัตโนมัติ
บ่ายคล้อยหลังเสพกาแฟกันจนอิ่มเราก็ขอพาทุกคนย้อนกลับไปวัยเด็ก ด้วยการไปเที่ยว เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ที่ไม่ได้มีแค่การส่องสัตว์ตอนกลางคืน แต่ช่วงบ่ายตั้งแต่ 15.00-16.30 น. เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีจะมีบริการนั่งรถชมสัตว์ ให้อาหารสัตว์ตอนกลางวัน โดย 1 รอบการชมใช้เวลา 1 ชั่วโมง (ค่าบริการ 200 บาท) ซึ่งจะแบ่งสัตว์เป็น 2 โซน คือโซน Savanna Safari ที่เราจะได้พบจิงโจ้แดง ม้าลาย และยีราฟที่ยื่นคอยาวเข้ามาให้เราป้อนผักอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางเสียงตื่นเต้นของคนรอบข้าง ส่วนอีกโซน Predator Prowl หรือโซนนักล่า ที่เราจะได้พบกับไฮยีน่าลายจุด เสือโคร่งขาว และสิงโต ที่เมื่อขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็สร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคนอย่างไม่น่าเชื่อ
เพื่อความปลอดภัยสวนสัตว์จะกันสัตว์นักล่าให้ห่างจากคันรถ แต่ไม่เป็นปัญหา เพราะ Huawei Mate 20 Pro มีฟังก์ชันซูมที่แตกต่างจากโทรศัพท์มือถือทั่วไป เพราะซูมด้วยชิ้นเลนส์จริงที่ติดมากับตัวกล้อง ทำให้ระยะซูม 3 เท่า 5 เท่าจึงมีความคมชัด เก็บรายละเอียดสีได้ทั้งหมดโดยภาพไม่แตก จนเราสามารถถ่ายรูปสัตว์ได้อย่างเพลิดเพลิน
ก่อนกลับกรุงเทพฯ ในไฟลต์ดึก หากนึกกรึ่มเราขอแนะนำ นพบุรี บาร์ ค็อกเทลบาร์สไตล์ไทย ที่ซ่อนตัวอยู่ย่านพระสิงห์ ค็อกเทลทุกชนิดของนพบุรี บาร์ สร้างสรรค์ใหม่ด้วยวัตถุดิบไทย ทั้งเหล้าที่เป็นเบสและผลไม้ รวมถึงชื่อค็อกเทลทั้ง ‘อุทัยทิพย์’ ที่ใช้เหล้ารัมไทยผสมกับแตงกวา โหระพา มะลิ จนได้รสที่สดชื่น แล้วค่อยเหยาะน้ำยาอุทัยทิพย์ตบท้าย หรือถ้าอยากหวานอมเปรี้ยวด้วยผลไม้ก็มี ‘ละมุน’ ที่มีเบสคือแม่โขง มะลิ ส้ม และเสาวรส ปิดท้ายวันให้ชื่นใจ
แม้ตัวร้านนพบุรี บาร์ จะมืดและเน้นตกแต่งด้วยไฟสีดัดเส้นเป็นหลัก แต่ก็ไม่เป็นปัญหาของ Huawei Mate 20 Pro เพราะเมื่อปรับไปที่โหมด Night ที่ใช้สำหรับถ่ายเวลากลางคืน กล้องก็จะคำนวณรูรับแสงและสปีดชัตเตอร์ เพียงถือกล้องให้นิ่งๆ และใช้เวลาไม่กี่วินาที ต่อให้อยู่ในที่มืดก็สามารถได้ภาพที่สว่างคมชัดโดยที่ไม่ต้องปรับอะไรให้ยุ่งยาก
จบทริป 48 ชั่วโมงแบบคล่องตัวในเชียงใหม่เพราะไม่ต้องวางแผนให้ยุ่งยาก แค่มีเวลาวันเสาร์-อาทิตย์เราก็สามารถหยิบเป้ขึ้นสะพายหลัง หยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเราก็ได้ความประทับใจกลับไปเป็นกระบุงโกย แถมมีรูปสวยๆ กลับไปเป็นของที่ระลึกเมื่อคิดถึงหรือต้องการชาร์จพลังว่าครั้งหนึ่งเราก็ได้ยืนอยู่บนทะเลหมอกที่กว้างสุดลูกหูลูกตาแบบนี้
ภาพ: อธิษฐาน กาญจนะพงศ์
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์