ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจ-การลงทุนคาดปีหน้าทั่วโลกเผชิญปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจใน 4 ด้าน ได้แก่ ความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจโลก, สถานการณ์ยืดเยื้อสงครามรัสเซีย-ยูเครน, การปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงเงินเฟ้อ และต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบพุ่งสูง เชื่อมหาอำนาจโลก ทั้งจีน สหรัฐอเมริกา ยุโรป เข้าสู่ภาวะถดถอย แนะโอกาสลงทุนสร้างผลตอบแทนในสินทรัพย์กลุ่มหุ้น ทองคำ และบิทคอยน์
อัครนันท์ ฐิตสิริวิทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนา THE WISDOM Investment Forum ว่าสิ่งที่น่ากังวลและกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 2566 เป็นอย่างมากคือ ราคาพลังงานที่ไต่ระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลพวงจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัสเซียและยูเครน, เงินเฟ้อที่ยังทะยานสูงขึ้นของสหรัฐฯ, การเดินเกมขึ้นอัตราดอกเบี้ยและประคองผลกระทบจากการขาดแคลนพลังงานของยุโรป และการเดินหน้านโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero-COVID) ของจีน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ภาวะ เศรษฐกิจถดถอย อาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด เปิดกลยุทธ์รับมือเน้น Predict-Prepare-Perform
- ‘ไบเดน’ ปัดเศรษฐกิจโลกตกต่ำไม่ได้มาจากดอลลาร์แข็ง แต่มาจากนโยบายที่ผิดพลาดของประเทศอื่น
- ภาระ ‘ผ่อนบ้าน’ อาจเป็นพายุลูกใหม่ซ้ำเติมเศรษฐกิจโลก เมื่อดอกเบี้ยบ้านแพงสุดรอบ 15 ปี
ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งเริ่มเปิดประเทศ เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัวจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามามากขึ้น แต่ประเทศไทยก็ยังต้องเผชิญกับปัญหารุมเร้าด้านอื่นๆ ได้แก่ ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจนถึงระดับ 38 บาทต่อ 1 ดอล์ลาร์สหรัฐ ตลอดจนต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนพลังงาน ต้นทุนค่าแรง รวมถึงต้นทุนของเงินทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เศรษฐกิจโลกอึมครึม แต่เอเชียสวนทางรับความสดใส
ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2566 จะขยายตัว 2.7% ปรับลดจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปีที่ 3.8% ซึ่งมีโอกาส 25% ที่การขยายตัวจะไปไม่ถึง 2% สะท้อนให้เห็นถึงภาพของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าที่นำโดยกลุ่มประเทศมหาอำนาจ ซึ่งจะมีความอึมครึมเพิ่มขึ้น
โดยประเมินว่า ผลพวงของการออกนโยบายรับมือเศรษฐกิจที่ร้อนแรง ราคาพลังงานที่สูง ตลาดแรงงานที่ยังตึงตัว รวมถึงเงินเฟ้อที่ยังสูง จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปชะลอตัว ขณะที่จีนมีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง 5.5% เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประกอบกับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero-COVID) ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาไม่เต็มที่ รวมถึงปัญหาอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องในช่วงที่ผ่านมาหดตัวลง
อย่างไรก็ดี มองว่าประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) หลายประเทศจะยังเติบโตได้ดี ประกอบด้วย กลุ่มความต้องการในประเทศเป็นตัวผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดี เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์, กลุ่มส่งออกพลังงานที่เติบโตจากราคาพลังงานที่ดี เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว อย่างไทยและฟิลิปปินส์ ที่เศรษฐกิจจะกลับมาพร้อมกับนักท่องเที่ยว
สำหรับประเทศไทย คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น ความแตกต่างระหว่างค่าเงินบาทที่อ่อนและดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าจะแคบลง ภาคการส่งออกยังคงได้รับผลกระทบ แต่เศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามา โดยคาดว่าจะเติบโต 3.8% ขยับจาก 3.3% ในปี 2565
นอกเหนือจากการจับตามองเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทิศทางของดอลลาร์สหรัฐ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะรัสเซีย-ยูเครน, จีน-สหรัฐฯ หรือจีน-ไต้หวัน ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ผู้ประกอบการและนักลงทุนยังต้องรู้จักกระจายความเสี่ยง ประกันความเสี่ยง และทำตัวให้พร้อมรับมือกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้นด้วย
หุ้นไทยยังน่าซื้อ
สรพล วีระเมธีกุล หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ชี้ว่า ในแง่ของการลงทุนหุ้นให้งอกเงยในปีหน้า มี 2 เรื่องที่ต้องมองคือ เงินเฟ้อ และ GDP โดยหลักสำคัญที่ต้องรู้คือ ให้ลงทุนในประเทศที่เงินเฟ้อมาจากฝั่งซัพพลาย หลีกเลี่ยงการลงทุนในประเทศที่มีเงินเฟ้อมาจากฝั่งดีมานด์
โดยไทยถือเป็นประเทศที่น่าลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 เนื่องจากเงินเฟ้อมาจากฝั่งซัพพลาย และอยู่ในช่วงของ Pent Up Demand หรือความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การกลับมาใช้จ่ายมากขึ้นอีกครั้งหลังจากในช่วงที่ผ่านมาการใช้จ่ายชะลอตัว ซึ่งในสัดส่วนการลงทุน 60% ให้แบ่ง 30% เล่นหุ้นในไทย, 15% ลงในสหรัฐฯ ฝั่งเทคโนโลยี และอีก 15% ลงในจีน ซึ่งควรซื้อหุ้น Domestic ฝั่ง A-Share
ทองคำยังเป็น Safe Haven
ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ทองคำยังเป็น Safe Haven หรือสินทรัพย์หลบภัยที่ดีของนักลงทุน ซึ่งควรรอดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งหากส่งสัญญาณชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ถือเป็นช่วงที่ควรเริ่มกลับมาสะสมทองคำเพื่อหวังผลในปีหน้า ทั้งนี้ ควรหาจังหวะเข้าซื้อสะสม โดยแบ่งเงินลงทุนเป็นหลายส่วนคือ ส่วนที่ 1 ให้เข้าซื้อบริเวณ 1,600-1,614 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่ 2-3 ให้เข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงต่ำกว่า 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ทองคำสามารถใช้เป็นสินทรัพย์ในการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้
บิทคอยน์ ทางเลือกใหม่ของนักลงทุน
พิริยะ สัมพันธารักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฉลกดอทคอม จำกัด กล่าวว่า บิทคอยน์เป็นเทคโนโลยีที่ฆ่าไม่ตาย เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าลงทุน ซึ่งหากอยู่ต่อได้อีก 30 หรือ 40 ปี ก็น่าจับตามองว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง โดยในปัจจุบันตัวเลขของการใช้งานยังเพิ่มขึ้นสูงมาก และหากจะลงทุนในบิทคอยน์ สิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณาคือ เรื่องของ 4 Year Cycle หรือการที่ทุกๆ 4 ปี บิทคอยน์จะมีการผลิตลดลงครึ่งหนึ่ง หรือ Halving ซึ่งจะช่วยให้มีความแข็งแกร่งในแง่ของการเป็นสินทรัพย์สูงขึ้น และตามมาด้วยการแห่ซื้อของตลาด
โดยมองว่าสำหรับคนที่ไม่ได้คิดจะลงทุนระยะสั้นหรือเก็งกำไรระยะสั้น และมีการป้องกันความเสี่ยงของตัวเองที่ดี ช่วงนี้ถือเป็นช่วงของการเก็บสะสม แต่สำหรับคนที่ต้องการลงทุน เทรด และเก็งกำไรจริงๆ อาจจะต้องรออีกสักระยะ เพื่อให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนจากตลาดก่อน
