InnovestX แนะนำว่ามีความเสี่ยงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ที่ต้องติดตามทั้งเงินเฟ้อมีความหนืด-ปัญหาการเมืองโลกลามไปยังการค้าของโลก พร้อมแนะวิธี Asset Allocation
วิศกรณ์ คีรีวรรณ CFA นักกลยุทธ์การลงทุน ผู้อำนวยการฝ่าย Wealth Products & Strategy บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในไตรมาส 3/24 ประเมินว่ามี 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้
- ปัจจัยเรื่องนโยบายการเงิน โดยปัจจุบันธนาคารกลางของโลกหลายแห่งๆ มีการทยอยปรับดอกเบี้ยก่อนธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เช่น ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) หรือธนาคารกลางยุโรป (ECB) เตรียมที่จะลดดอกเบี้ยก่อน Fed เนื่องจากปัจจุบันโจทย์ปัญหาด้านเศรษฐกิจของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เศรษฐกิจโลกจะมีประเด็นเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ส่วนครึ่งปีหลังจะเป็นประเด็นของการเติบโตของเศรษฐกิจ
- ปัจจัยทางการเมือง โดยหลายประเทศเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงพรรคการเมืองในการบริหารประเทศจากเดิมที่เป็นฝั่งซ้ายจัดมาเป็นมาเป็นพรรคการเมืองขวาทยอยเพิ่มขึ้น และในอนาคตมีแนวโน้มที่ภาคการเมืองโลกจะปรับไปทิศทางฝั่งขวาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีแนวนโยบายเป็นฝั่งขวาจัด ซึ่งหากชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็จะมีนโยบายไปในทิศทางดังกล่าว
ขณะที่ฝ่ายจีนปัจจุบันเริ่มมีนโยบายในการปฏิรูปเศรษฐกิจภายใน โดยในช่วงวันที่ 15-18 กรกฎาคมปีนี้ เป็นช่วงการประชุมของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Plenum) ซึ่งมีความสำคัญมาก หลังจากช่วงที่ผ่านมาแผนพัฒนาของเศรษฐกิจของจีนขาดช่วงไปในระยะหนึ่ง คาดว่าในการประชุมรอบนี้ซึ่งมีทั้งวาระทางการเมืองและการปฏิรูปเศรษฐกิจที่จะมีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน
- ปัจจัยด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้มีมุมมองว่าธีมของเศรษฐกิจโลกจะมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน (Global Synchronized Growth) แต่สาเหตุในการเติบโตมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กรณีของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในตลาดพัฒนาแล้ว ช่วงปีนี้ที่กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังมีการเติบโตต่อเนื่องก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อราคาหุ้นให้ปรับตัวดีขึ้นตามด้วย โดยปัจจัยพื้นฐานของหุ้นที่ลงทุนถือว่ามีความสำคัญ ซึ่งอัตราปิดราคากำไรต่อหุ้น (PE) ของหุ้นในตลาดสหรัฐฯ ขณะนี้ถือว่ามีมูลค่าที่แพงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบจากอดีต
จับตากำไร บจ.สหรัฐฯ 2Q24 ต่ำคาด เสี่ยงทำหุ้นปรับฐาน
อย่างไรก็ดี หากแนวโน้มของกำไรของบริษัทจำกัดในสหรัฐฯ ไม่เติบโตตามที่นักลงทุนคาดหวังไว้ก็มีโอกาสที่ค่า PE ที่ซื้อขายในปัจจุบันที่ระดับ 40-50 เท่า จะเกิดการ De-Rating ของ PE ลงมาได้ และจะทำให้หุ้นมีโอกาสปรับฐานลง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/24 ที่มีนักวิเคราะห์เริ่มประเมินว่ามีโอกาสเห็นหุ้นของสหรัฐฯ ปรับฐานลงได้ในระดับประมาณ 10%
อย่างไรดี การปรับฐานในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นหรือไม่ยังคงประเมินได้ยาก แต่หากกำไรของ บจ.สหรัฐฯ ยังสามารถเติบโตได้ตามที่นักลงทุนประเมินไว้ก็มีโอกาสที่จะสนับสนุนให้ราคาหุ้นในตลาดสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อการลงทุนประเมินว่ายังเป็นปัจจัยการเติบโตของกำไรของ บจ.สหรัฐฯ ซึ่งกำไรต้องมีการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เช่น หุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า หรือ Magnificent 7 ซึ่งที่ผ่านมากำไรของหุ้นกลุ่มนี้มีการเติบโตและค่อนข้างดี ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีตามไปด้วย
อย่างไรก็ดี แนะนำให้ติดตามในประเด็นสำคัญ ทั้งผลประกอบการไตรมาส 3/24 ของ บจ.สหรัฐฯ ที่จะรายงานออกมาว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่กระจายตัวมากขึ้นหรือไม่ จากเดิมที่กำไรกระจุกตัวอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งหากเกิดภาพดังกล่าวจะสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้กับตลาดหุ้น S&P 500 รวมถึงตลาดหุ้นโลกให้มีความหวังมากขึ้น
สำหรับความเสี่ยงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ที่ต้องจับตามีดังนี้
- เงินเฟ้อมีความหนืดจะกดดันให้ Fed ต้องยืดระยะเวลาในการตรึงดอกเบี้ย เพราะ Fed ยังไม่มีความมั่นใจว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลงหรือไม่
- ปัจจัยความขัดแย้งทางการเมืองโลกเริ่มลุกลามไปยังการกีดกันทางการค้าของโลกและกลุ่ม AI ได้รับกระทบ
- PE ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปัจจุบันถูกแบกด้วยกำไรของหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์กับ AI ที่เติบโต ซึ่งที่ผ่านมาเติบโตได้ หากกำไรของหุ้นกลุ่มดังกล่าวยังเติบโตก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ แต่หากกำไรกลุ่มนี้ไม่มีการเติบโตก็มีความเสี่ยงที่ PE ของหุ้นกลุ่มนี้จะปรับลดลง ทำให้ราคาเป้าหมายของหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลงได้ด้วยเช่นกัน
ส่วนคำแนะนำการลงทุนการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) สำหรับ Core-Satellite Portfolio แนะนำ Overweight ตราสารทุนกับตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยการลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศยังคงเน้นตลาดหุ้นหลักคือสหรัฐฯ
ส่วนฝั่งตลาดหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) ในฝั่งเอเชีย แนะนำลงทุนในตลาดหุ้นจีนกับหุ้นไทย โดยในการประชุม Plenum ของจีนถือเป็นประเด็นบวกที่สร้างความหวังให้กับนักลงทุน ส่วนตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้เริ่มมีความหวังมากขึ้น หลังจากมีมาตรการที่เกี่ยวข้องที่เป็นบวกออกมา เช่น มาตรการปรับปรุงเกณฑ์ควบคุมธุรกิจ Short Sell รวมทั้งปัจจัยบวกจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลที่กำลังจะออกมา
สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้แนะนำ Overweight ตราสารหนี้โลกมากกว่าตราสารหนี้ไทย โดยปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของสหรัฐฯ มีอัตราผลตอบแทน (Bond Yield) อยู่ที่ 4.3-4.4% เทียบกับไทยอยู่ที่ระดับ 2.7-2.8% จึงมองว่า เมื่อเทียบกับความเสี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ของไทยไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง
ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกลงทุนช่วงไตรมาส 3-4 ในปี 2024 มีมุมมองที่เป็นบวกต่อราคาทองคำเพิ่มขึ้น ด้วยปัจจัยของภาพการเมืองของโลกที่มีแนวโน้มนโยบายไปทางขวาจัดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะมีขัดแย้งระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ