วันนี้ (1 กรกฎาคม) สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส. พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วาระแรกขั้นรับหลักการ ว่าการจัดทำงบประมาณต้องทำให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและสังคมในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งในขณะนี้ปัญหาบ้านเมืองอยู่ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งจากที่ฟังนายกรัฐมนตรีอ่านคำแถลงงบประมาณนั้น ไม่มีวิธีการแก้ไขว่าจะทำอย่างไรในเรื่องนี้เลย
จากวิกฤตโควิด-19 เรากำลังจะนำประเทศไปสู่อีกวิกฤตคือ วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งการจัดงบประมาณประเทศต้องรองรับวิกฤตเศรษกิจที่กำลังจะมาหาเรา ซึ่งแตกต่างจากวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ซึ่งมีปัญหากับผู้ประกอบการชนชั้นบน แต่ภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และการเกษตร เราได้รับผลกระทบไม่มาก อีกทั้งช่วงนั้นค่าเงินบาทไทยอ่อนค่า ทำให้การส่งออกและการท่องเที่ยวช่วยกู้เศรษฐกิจในครั้งนั้น
แต่วิกฤตโควิด-19 กระทบทุกภาคส่วน และกระทบไปทั่วโลก การส่งออกยุติลงเป็นอัมพาต เรียกได้ว่าทั้งหมดพังพินาศไปพร้อมๆ กัน
อย่างไรก็ตาม ไทยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อย แต่ผลกระทบเศรษฐกิจกำลังจะมาเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยการรับมือโควิด-19 สร้างความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจสูงถึง 2 ล้านล้านบาท
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอก GDP จะหดตัว 8.1% แต่นายกฯ ได้กล่าวว่า จะหดตัวแค่ 5-6% ซึ่งไม่ตรงกัน
สมพงษ์กล่าวด้วยว่า ผลกระทบจากโควิด-19 จะฟื้นเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ข้อ คือ
- ไม่ให้ธุรกิจล้ม
- รักษาการจ้างงาน
- ป้องกันไม่ให้กระทบถึงระบบการเงินของประเทศ
แต่ขณะนี้ธุรกิจค่อยๆ ล้มลงไป หนี้เสียในธนาคารจะเกิดขึ้นรวดเร็ว
แต่ที่ตนอ่านงบประมาณปี 2564 ยังใช้วิธีการจัดทำแบบเดิมๆ ไม่ได้ปรับให้เหมาะสม และยังยึดมั่นในโจทย์เดิมๆ ที่ยังยึดกับยุทธศาสตร์ชาติและตามที่หน่วยราชการเสนอมา โดยรัฐบาลไม่ได้มองไปที่ภาพใหญ่ว่าอนาคตของไทยจะก้าวไปในทิศทางไหน
สมพงษ์ย้ำว่า ตนไม่อยากเห็นนโยบายแจกเงินไปเที่ยวและแจกเงิน ซึ่งเป็นทางผ่านของเม็ดเงินไปสู่กลุ่มทุนที่ใกล้ชิดของรัฐบาล
คำถามคือ งบประมาณปี 2564 ที่วางแผนรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และป้องกันความเสียหายของสถาบันการเงิน รวมถึงมือพืชผลเกษตรที่ตกต่ำแล้วหรือยัง
ถ้ารัฐบาลไม่สามารถชี้แจงปัญหาข้างต้นได้ ตนก็ไม่สามารถให้งบประมาณนี้ผ่านไปได้
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
