สัปดาห์ก่อนมีข่าวว่ารัฐบาลได้ส่งจดหมายถึง 20 เศรษฐีไทยที่รวยที่สุดในประเทศ เพื่อขอคำแนะนำทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับการแก้ไขวิกฤตโควิด-19 รวมถึงความช่วยเหลือที่เศรษฐีเหล่านั้นจะมอบให้แก่ประชาชนที่ประสบปัญหาในทุกๆ ด้าน
รายชื่อเศรษฐีเหล่านั้น แน่นอนว่าเป็นที่น่าสนใจสำหรับคนส่วนใหญ่ในประเทศ แต่สำหรับผมแล้ว รายชื่อที่จะน่าสนใจยิ่งกว่าก็คือภายหลังวิกฤตแล้ว ใครจะเป็นคนที่รวยที่สุด 20 อันดับ
เหตุผลก็คือหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจทุกครั้ง มหาเศรษฐีเดิมจำนวนไม่น้อยมักจะเสียหายอย่างหนักจนตกอันดับหรือหายไปจากสารบบของเศรษฐีใหญ่ รายชื่อมหาเศรษฐีใหม่จะปรากฏขึ้น รายชื่อใหม่เหล่านี้ส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นรายชื่อเศรษฐีธรรมดาในตลาดหุ้นอยู่แล้ว แต่บางครั้งก็เป็นเศรษฐีที่เกิดขึ้นใหม่และเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่ง
การที่เรารู้ว่าใครจะเป็นมหาเศรษฐีใหม่นั้นจะทำให้เราสามารถเลือกหุ้นลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีและช่วยพาให้เรารวยไปด้วยได้ ลองมาดูประวัติคร่าวๆ ของการเกิดเศรษฐีใหม่หลังวิกฤตครั้งใหญ่ที่ผ่านมาในอดีตย้อนหลังไปถึงปี 2540 ดู
ก่อนปี 2540 นั้น รายชื่อมหาเศรษฐี 20 อันดับของไทยส่วนใหญ่ก็คือเจ้าของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทผู้ผลิตอาหารขนาดใหญ่ทั้งที่บริโภคในประเทศและส่งออก และผู้จัดสรรบ้านและที่ดินขนาดใหญ่ที่เริ่มจะได้รับอานิสงส์จากคนยุคเบบี้บูมและเจนเอ็กซ์ที่เริ่มจะร่ำรวยขึ้นและซื้อบ้านใหม่แยกจากพ่อแม่
แต่เมื่อเกิดวิกฤต ‘ต้มยำกุ้ง’ ขึ้น ธนาคารและธุรกิจขนาดใหญ่ที่มักกู้เงินมหาศาลโดยเฉพาะจากต่างประเทศต่างก็แทบจะล้มละลาย ธนาคารส่วนใหญ่กลายเป็นของนักลงทุนต่างชาติ ความมั่งคั่งของเจ้าของลดลงมหาศาล คนรวย 20 อันดับแรกจำนวนมากกลายเป็น ‘เจ้าสัวเยสเตอร์เดย์’ คนที่จะรวย 1 ใน 20 อันดับเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่
หลังวิกฤต หุ้นของบริษัทให้บริการโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งจะเริ่มดำเนินการมาไม่นานและยังมีผู้ใช้ไม่มากนักต่างก็เจ็บตัวอย่างหนักและต้องทำการปรับโครงสร้างทางการเงินไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าผู้ใช้ก็เพิ่มขึ้นมากตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ต้นทุนของการให้บริการลดลงมาก และค่าใช้โทรศัพท์ของประชาชนก็ลดลงมากเช่นกัน นั่นทำให้รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว หุ้นของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเติบโตขึ้นมหาศาล เจ้าของบริษัทกลายเป็นคนรวยที่สุดในประเทศในชั่วเวลา ‘ข้ามคืน’
ในเวลาใกล้เคียงกัน ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่เป็นเครือข่ายซึ่งเริ่มเข้ามาในประเทศก่อนหน้าวิกฤตเล็กน้อยนั้น หลังจากวิกฤตผ่านพ้นไปก็เริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็วจากไม่กี่สาขาและขยายตัวอย่างช้าๆ ก็เริ่มเติบโตอย่างรวดเร็วตามการเติบโตของ GDP ที่เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วด้วยอานิสงส์จากการเติบโตของการลงทุนจากต่างประเทศที่เน้นการผลิตเพื่อส่งออก ที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบเพราะค่าแรงที่ถูกและค่าเงินบาทที่ค่อนข้างอ่อนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ในเวลานั้นประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตที่ไม่แพ้ใคร แม้แต่จีน ไม่ต้องพูดถึงเวียดนามหรือประเทศ ‘ชายขอบ’ ทั้งหลาย
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วนั้นส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว ความต้องการที่อยู่อาศัยทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในทุกด้าน คนที่ทำห้างร้านให้เช่า คนทำบ้านขาย และแม้แต่คนทำนิคมอุตสาหกรรมต่างก็เข้าไปอยู่ในรายชื่อของคนรวยที่สุดในประเทศเช่นเดียวกัน
ประชาชนที่ร่ำรวยขึ้นก็ส่งผลให้มีการบริโภคความบันเทิงต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการบริโภคสื่อ เช่น การดูทีวีและชมภาพยนตร์มากขึ้น ดังนั้นคนที่รวยที่สุดในยุคนี้จึงรวมถึงเจ้าของสื่อต่างๆ ที่มีลักษณะ ‘กึ่งผูกขาด’ ทั้งหลายด้วย
เวลาผ่านไปประมาณ 10 ปีจนถึงปี 2551 วิกฤตซับไพรม์ก็เกิดขึ้น วิกฤตครั้งนั้นไม่ได้รุนแรงและทำลายความมั่งคั่งของเศรษฐีไทยเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม เวลาที่ผ่านไปจากวิกฤตปี 2540 โลกได้เห็นการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลของจีน เวียดนาม และประเทศที่เคย ‘ปิด’ ทั้งหลาย เปิดประตูต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศและเข้ามาร่วมในระบบการค้าของโลกอย่างเต็มที่ และนั่นทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยในด้านการผลิตเพื่อส่งออกด้อยลง เพราะประเทศใหม่ๆ เหล่านั้นมีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าและมีแรงงานจำนวนมาก รวมถึงมีตลาดในประเทศที่ใหญ่และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนั้นทำให้การลงทุนของไทยลดลงเช่นเดียวกับการส่งออกที่โตช้าลงมาก ผลก็คือการเติบโตของ GDP ไทยตั้งแต่หลังวิกฤตปี 2551 ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่โตเร็วที่สุดในอาเซียนเป็นโตช้าที่สุด ทั้งหมดนั้นส่วนหนึ่งคงเป็นผลจากความวุ่นวายทางการเมืองของไทยเองด้วย
โชคยังดีที่โครงสร้างของเศรษฐกิจไทยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป จากที่อิงกับการลงทุนและการส่งออกมาเป็นการบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ผลก็คือธุรกิจเกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศเติบโตดี ยอดขายรถ บ้าน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนโดฯ เติบโตขึ้นมาก เช่นเดียวกับโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนที่ทุกคนต้องมีเพื่อที่จะรับสื่อทางอินเทอร์เน็ตแบบใหม่ที่กำลังเข้ามาดิสรัปต์สื่อแบบเก่า และเรื่องอื่นๆ อีกมากที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
การบริโภคทั้งหมดนั้นทำได้เนื่องจากการลดลงของดอกเบี้ยสู่จุดต่ำสุดและสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นเหลือ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสามารถกู้เงินได้จำนวนมาก อัตราการเป็นหนี้ของบุคคลธรรมดาของไทยสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้าง GDP ดังกล่าวนั้นก่อให้เกิด 20 เศรษฐีใหม่ที่มักเป็นเจ้าของธุรกิจที่ตอบสนองการบริโภคของประชาชนและการท่องเที่ยว เจ้าของธุรกิจปล่อยเงินกู้ให้แก่ประชาชนเพื่อการบริโภคหลายคนเข้ามาอยู่ในลิสต์ด้วย ผู้ขายสินค้าอุปโภคบริโภค เจ้าของสายการบิน โรงแรม และร้านอาหาร เช่นเดียวกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ยังอยู่ในรายชื่อคนร่ำรวยของประเทศ ไม่ต้องพูดถึงห้างร้านสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกสมัยใหม่ทั้งหลายที่เน้นการบริโภคของประชาชน แม้แต่โรงพยาบาลที่ให้บริการแก่ชาวต่างชาติก็เติบโตและทำกำไรสูงมาก
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานั้น ‘กระแสใหม่’ ของการเติบโตของ ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ กำลัง ‘ถาโถม’ เข้ามาอย่างรุนแรง และนั่นได้ทำให้ธุรกิจหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจสื่อ เช่น ทีวี แทบจะล้มหายตายจากไป และเจ้าของตกจากรายชื่อของมหาเศรษฐีอย่างสิ้นเชิง
ก่อนวิกฤตโควิด-19 นั้นยังมีมหาเศรษฐีใหม่อีกกลุ่มหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นอย่าง ‘งงๆ’ เพราะดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องของภาพใหญ่ทางเศรษฐกิจของไทย ก็คือกลุ่มที่ทำธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้า รถไฟฟ้า ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและสภาพคล่องทางการเงินที่สูงของระบบเศรษฐกิจไทยทำให้สามารถเข้าไปประมูลแข่งขันให้บริการทั่วโลก
คำถามก็คือหลังวิกฤตโควิด-19 แล้วใครจะเข้ามาอยู่ในบัญชีรายชื่อเศรษฐีใหม่ของไทย ถ้าดูจากวิวัฒนาการในช่วงเร็วๆ นี้ในเศรษฐกิจหรือตลาดของอเมริกานั้น ดูเหมือนจะ ‘ฟันธง’ ได้เลยว่าคงเป็นบริษัทและเจ้าของที่ทำธุรกิจดิจิทัลหรือไฮเทคทั้งหลาย เพราะแม้ในขณะนี้ที่หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ตกกันหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แต่หุ้นอย่าง Amazon และ Netflix กลับปรับตัวขึ้นเป็น ‘All Time High’ ตลาดรับรู้แล้วว่าหลังจากโควิด-19 โลกก็จะยังอยู่ เศรษฐกิจก็จะยังเติบโตต่อไป แต่คนที่จะยิ่งใหญ่เป็นผู้ให้บริการแก่คนทั้งโลกมากขึ้นไปอีกก็คือบริษัทเหล่านี้
แต่สำหรับประเทศไทยเองนั้น ผมก็ยังไม่เห็นคนที่จะมา ‘รับไม้ต่อ’ เป็นผู้นำเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไป เป็นไปได้ว่าอาจจะไม่มี ซึ่งนั่นก็อาจจะหมายความว่าบริษัทเดิมๆ ที่ยิ่งใหญ่ในวันนี้ก็ยังจะกลับมาทำงานเหมือนเดิม มูลค่าหุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้นมาเท่ากับก่อนโควิด-19 แต่จะให้โตต่อไปก็อาจจะยาก เพราะโลกในยุคหน้านั้น คนจะใช้สินค้าที่ไฮเทคหรือก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งสินค้าพวกนั้นอาจจะมาจากต่างประเทศ นี่ก็ไม่เหมือนวิกฤตสมัยก่อนที่เราพอจะเห็นบริษัทที่จะมารับไม้ต่อหลังวิกฤต เพราะบริษัทเหล่านั้นต่างก็เริ่มก้าวเดินมาก่อนวิกฤตแล้ว หลังวิกฤตพวกเขาก็แค่เติบโตเร็วขึ้นจนแซงบริษัทเดิมๆ ที่ตกต่ำลงเพราะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ได้ ผมคงต้องเฝ้ารอต่อไป รอว่าเมื่อไรไทยจะมี ‘ยูนิคอร์น’ ตัวแรก
หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ โลกในมุมของของ Value Investor เว็บไซต์ Settrade Blog
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์