สมัยก่อนเรามักจะนึกภาพว่าการปลูกต้นไม้เป็นกิจกรรมของผู้ใหญ่ หาได้มีวัยรุ่นมาเดินจับจองต้นไม้ในตลาดมากนัก หรือถ้ามีก็เป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น แต่แล้วมันก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่มีอะไรแน่นอน เช่นเดียวกับการมาของโควิด-19 ที่ทำให้หลายคนหยุดกิจกรรมทุกอย่าง นอนเหงาอยู่กับบ้าน ไม่ได้ออกไปไหน กิจกรรมอะไรที่ช่วยผ่อนคลายและบรรเทาความเครียดได้ ล้วนถูกงัดออกมาใช้กันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นเกมอย่าง Nintendo Switch ที่ทำให้ราคาเครื่องและแผ่นเกมพุ่งขึ้นไปสูงเป็นเท่าตัว หรือนวัตกรรมด้านอาหารที่เกิดปรากฏการณ์หม้อทอดไร้น้ำมัน ช่วยปลุกสกิลการทำอาหารของใครหลายคน ไปจนถึงเทรนด์ต้นไม้ที่เพิ่งจะเริ่มฮิตเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ทำให้พ่อค้าแม่ค้ายิ้มแก้มปริจนเพาะชำกันแทบไม่ทัน
ไหนๆ เทรนด์การปลูกต้นไม้ก็เข้ามามีบทบาทกับไลฟ์สไตล์คนในช่วงเวลานี้อย่างหนัก เราจึงอยากแนะนำให้รู้จักต้นไม้ที่ราศีจับ และอยู่ในความสนใจของคนส่วนใหญ่ รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าล้วนหามาประดับไว้ในร้านของตัวเองกันถ้วนหน้า หลายต้นน่าจะเคยได้ยินชื่อผ่านหูกันมาบ้าง หลายต้นอาจผ่านตาจากภาพแต่งบ้านที่ถูกรวมอยู่ใน Pinterest ของต่างประเทศกันบ่อย ไปจนถึงบางต้นปลูกกันไปดีๆ ก็มีราคาเหมือนกัน ไหนดูซิว่าบ้านของคุณมีต้นไม้เหล่านี้กันแล้วหรือยัง
- ไทรใบสัก (Fiddle fig)
พืชเขตร้อน เหมาะกับพื้นที่อากาศร้อนชื้นแบบบ้านเรา หนึ่งในต้นไม้ที่เราน่าจะเห็นจาก Pinterest บ่อยที่สุด ด้วยลักษณะลำต้นสูง แตกใบขนาดใหญ่รอบทิศทาง บ้างแตกออกมาหลายกิ่ง ยิ่งมีหลายกิ่งยิ่งราคาแพง ไทรใบสักเป็นพืชที่ชอบแสงแดดหรือบริเวณที่มีแสงรำไร สามารถนำมาปลูกภายในบ้านได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยฟอกอากาศ มีทั้งพันธุ์แคระและพันธุ์ใบใหญ่ ไปจนถึงพันธุ์ด่างที่ราคาสูงกว่าปกติ
การดูแล: ไทรใบสักเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำเยอะ จึงไม่ควรรดน้ำบ่อย เช็กได้โดยการจิ้มนิ้วลงไปในดิน หากยังมีความชื้นอยู่ ก็ยังไม่จำเป็นต้องรดน้ำก็ได้ ซึ่งปกติผมมักจะรดน้ำประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้ง การรดน้ำแต่ละครั้งต้องรดให้ชุ่มๆ กระถางไปเลย ไม่ต้องกลัวว่ารากจะเน่า เพราะเขาต้องใช้น้ำไปอีกหลายวัน อีกหนึ่งสิ่งสำคัญของพืชใบคือ หมั่นเช็ดทำความสะอาดใบด้วยน้ำเปล่าสัปดาห์ละครั้ง จะได้ไม่มีอะไรมาบดบังการสังเคราะห์แสงของเขาด้วย
ราคา: ต้นเล็กราคา 300-500 บาท ต้นใหญ่ราคา 800-1,400 บาท
- ยางอินเดีย (Ficus elastica)
พืชอีกชนิดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงนี้ เรามักจะเห็นรูปต้นไม้ทรงสูง ใบสีเขียวเข้มไปจนถึงดำเรียวยาวแหลมรอบทิศทาง มียอดปลายแหลมสีชมพู นั่นคือภาพคร่าวๆ ของยางอินเดีย มีทั้งพันธุ์ด่าง ใบแคระ ใบแดง และใบดำ คนนิยมนำมาปลูกในบ้าน เพราะไม่ชอบแสงแดดจัด รวมถึงยังใช้ฟอกอากาศได้ด้วย ยางอินเดียปลูกง่ายด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและปักชำ ซึ่งส่วนมากที่เจอในตลาดต้นไม้จะเป็นอย่างหลังมากกว่า หากเลือกได้ แนะนำให้เลือกต้นที่เพาะเมล็ด รากจะมีความแข็งแรงกว่าต้นปักชำ
การดูแล: ยางอินเดียค่อนข้างชอบน้ำ สังเกตได้จากเวลาใบของเขาเริ่มตก แสดงว่าเราอาจจะตั้งต้นไม้ให้โดนแดดมากเกินไป หรือรดน้ำไม่พอ ทางที่ดีควรตั้งไว้ในจุดที่มีอากาศถ่ายเท รดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือหากมีเวลาว่าง แนะนำให้เอาไปตั้งรับแดดเช้าๆ บ้างเป็นพอ
ราคา: ต้นเล็กราคา 300-500 บาท ต้นใหญ่ราคา 800-1,200 บาท
- มอนสเตอรา (Monstera)
พืชที่เรามักเห็นตามหนังสือแต่งบ้านหรือจาก Pinterest ด้วยลักษณะใบแฉกขนาดใหญ่แตกออกมาเป็นกอมากมาย เป็นพืชเลี้ยงง่าย เรียกได้ว่ามือใหม่ก็ยังรอด เลี้ยงได้ทั้งในดินและน้ำ มอนสเตอรามีหลายสายพันธุ์มาก หลายๆ ชื่อที่เราได้ยินกันบ่อยในช่วงนี้อาจจะเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของมอนสเตอราก็ได้ เช่น ไจแอนด์มอนสเตอราที่มีใบขนาดใหญ่ มีรอยฉีก และรูวงกลมบนใบเยอะกว่ามอนสเตอราปกติ ส่วนใหญ่นิยมนำมาเลี้ยงภายในบ้าน เพราะเป็นพืชที่ไม่ต้องการแสงแดดจัด และไม่ต้องการน้ำเยอะจนชื้นขังอยู่ในดิน วัสดุที่นำมาใช้ปลูกส่วนมากจะเป็นกาบมะพร้าวสับ เราจึงมักเรียกมอนสเตอราว่าเป็นพืชรากอากาศ เพราะมันอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยดิน
การดูแล: มอนสเตอราชอบความชื้นแต่ไม่แฉะ จึงไม่ควรรดน้ำจนขังในกระถาง ทางที่ดีใช้วัสดุกาบมะพร้าวสับจะช่วยระบายน้ำและเก็บความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี รดน้ำแค่อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งก็พอ แต่สามารถใช้ฟ็อกกี้ฉีดเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับใบของมอนสเตอราในวันที่อากาศร้อนได้
ราคา: ต้นเล็กๆ ขายกันอยู่ที่ 200-500 บาท ยิ่งพันธุ์ด่างยิ่งมีราคาสูงมากขึ้น
- ฟิโลเดนดรอน ซานาดู (Philodendron xanadu)
พืชตระกูลหนึ่งของฟิโลเดนดรอน มาจากภาษากรีก 2 คำ คือ Phileo แปลว่า รัก และ Dendron แปลว่าต้นไม้ ฟิโลเดนดรอนมีหลายสายพันธุ์ไม่ต่างจากมอนสเตอรา สำหรับซานาดูนั้นมีลักษณะใบแฉกรอบโค้งงอเหมือนช้อน ยิ่งโตใบยิ่งมีขนาดใหญ่และรอยแฉกลึกสวยงาม เป็นไม้เลื้อยที่เลี้ยงง่าย โตไว และกินพื้นที่ค่อนข้างมาก ปลูกบนกาบมะพร้าวสับหรือดินร่วนๆ ได้ ชอบความชุ่มชื้น และไม่ชอบแสงแดดจัด นิยมนำมาวางประดับบ้าน เพราะช่วยฟอกอากาศได้เหมือนกับไม้ใบต้นอื่นๆ
การดูแล: รดน้ำอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง สังเกตได้โดยการใช้นิ้วจิ้มลงไปในดิน หากยังมีความชื้นอยู่ ยังไม่ต้องรดน้ำก็ได้ สามารถใช้ฟ็อกกี้ฉีดเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับใบในวันที่อากาศร้อนได้เช่นกัน
ราคา: 150-500 บาท ตามขนาดของต้นไม้
- ลิ้นมังกร (Sansevieria)
หนึ่งในพืชเก่าแก่ของประเทศไทย สามารถพบเห็นได้ตามหน้าบ้านที่ชอบปลูกต้นไม้ ลิ้นมังกรเป็นไม้ล้มลุกในเขตร้อนของทวีปแอฟริกา จึงสามารถนำมาปลูกในอากาศบ้านเราได้สบาย ปลูกง่าย แค่ถอนรากแล้วนำไปปักในดินร่วนระบายน้ำได้ดี มีทั้งพันธุ์ที่ใบเขียว ใบด่าง และพันธุ์แคระ นอกจากคนจะนิยมนำมาปลูกใส่กระถางสวยๆ ในบ้านเพื่อช่วยฟอกอากาศแล้ว สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือ ต้นไม้ส่วนใหญ่แม้จะขึ้นชื่อว่าช่วยฟอกอากาศ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้นไม้ไม่อาจละเลยได้คือ กระบวนการคายคาร์บอนไดออกไซด์ในเวลากลางคืน แต่ดันมีพืชชนิดหนึ่งที่ทำตัวสวนกระแส เพราะดันดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และความชื้นในอากาศไว้สำหรับสังเคราะห์แสงตอนกลางวัน หนึ่งในนั้นคือลิ้นมังกรนี่แหละ ดังนั้น ใครปลูกต้นไม้ในบ้านเยอะๆ ควรนำเจ้าลิ้นมังกรไปไว้ในห้องด้วย เหมือนให้อาหารเขาไปในตัว
การดูแล: แม้จะได้ชื่อว่าพืชเขตร้อน แต่ลิ้นมังกรก็ยังต้องการน้ำพอสมควร เพื่อรักษาฟอร์มใบให้สวยงาม ดังนั้น สามารถรดน้ำได้ทุกวันหรืออาทิตย์ละ 2-3 วันก็ยังไหว ไปจนถึงการรับแสงแดดยามเช้า เพราะพืชอาศัยแสงอาทิตย์ในการปรุงอาหารเสมอ
ราคา: 100-300 บาท แต่ถ้าข้างบ้านใครปลูก แนะนำให้ทำตัวดีๆ แล้วไปขอเขาสักต้นมาปักลงดินได้เลย อย่ามือบอนไปเด็ดมาก่อนแล้วบอกทีหลังเชียวล่ะ!
- กวักมรกต (Zanzibar gem)
หนึ่งในพืชที่ได้ชื่อว่าทนทาน ปลูกง่าย เลี้ยงง่าย เหมาะสำหรับใครที่อยากมีต้นไม้ในบ้านสวยๆ แต่ไม่มีเวลาดูแลมากนัก กวักมรกตคือคำตอบ คุณสามารถวางทิ้งไว้นอกบ้านให้พอมีแสงอาบยามเช้าหรือบ่าย กลับมาจากงานก็รดน้ำให้เขาเสียหน่อย หรือปล่อยทิ้งไว้บ้างก็ไม่เป็นไร เพราะกวักมรกตเป็นพืชอวบน้ำ เก็บน้ำเก่งตามขนาดตัว ส่วนมากที่พบกันจะเป็นพันธุ์สีเขียว แต่กวักมรกตมีอีกพันธุ์คือสีดำ ที่ราคาสูงกว่ามาก ยิ่งดำยิ่งแพง นำมาใส่กระถางขาวๆ ตั้งไว้สักมุมของบ้าน สวยขึ้นมาทันตาเห็น
การดูแล: สามารถรดน้ำได้ทุกวัน หรือ 2-3 วันครั้งก็ได้ (สำหรับคนขี้เกียจ) แนะนำให้ตั้งเขาไว้รับแสงยามเช้าบ้าง เพราะอย่างไรปลูกต้นไม้ก็หนีปัจจัยเรื่องแสง น้ำ และดิน ไม่พ้น
ราคา: พันธุ์เขียว 100-300 บาท พันธุ์ดำ 300-500 บาท แล้วแต่ขนาดของต้นไม้
Photo: @phreukplant / Instagram
- พญาไร้ใบ (Euphorbia tirucalli)
ต้นไม้สายฮิปอีกหนึ่งต้นที่โดดเด่นด้วยลักษณะลำต้นเล็กๆ อวบน้ำ มีกิ่งแผ่ออกไปรอบทิศทางคล้ายปะการัง แม้จะชื่อว่าพญาไร้ใบ แต่ก็มีใบและออกดอกให้เห็น เป็นต้นไม้ที่มีสรรพคุณเยอะมาก ใช้ได้ตั้งแต่ราก ลำต้น ใบ ไปจนถึงยางจากต้นไม้ แต่ระมัดระวังการสัมผัสยางโดยตรง เพราะอาจระคายเคืองได้
การดูแล: เป็นไม้กลางแจ้ง ทนแสงแดดได้ดี สามารถนำไปปลูกในบ้านที่มีแสงรำไรได้ นอกจากนี้ยังเป็นไม้อวบน้ำ จึงไม่จำเป็นต้องรดน้ำทุกวัน รดน้ำเพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็ยังไหว
ราคา: 200-500 บาท แล้วแต่ขนาดของต้นไม้
- กล้วยด่าง (Heliconaia striata)
นับเป็นพันธุ์ไม้หน้าใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกล้วยด่างฟลอริดา เพราะเดี๋ยวนี้อะไรที่เป็นด่าง ไม่มีคำว่าถูก แถมยังสวยอีกด้วย ลักษณะภายนอกเหมือนกล้วยบ้านเรา ต่างกันตรงที่ใบและลำต้นของเขาจะมีสีด่างขึ้นเป็นลายสวยงาม ให้ผลเหมือนกัน แต่กล้วยพันธุ์นี้รสชาติเหมือนกล้วยไข่อมเปรี้ยว จึงไม่ค่อยนิยมนำมากินเท่าไร หลายคนนิยมนำมาปลูกไว้ในบ้านเมื่อลำต้นเริ่มแข็งแรงแล้ว นับเป็นประสบการณ์ใหม่เวลาใครมาเยี่ยมบ้านต้องเกิดคำถามว่า ทำไมมีต้นกล้วยอยู่ในบ้านได้ แล้วดันสวยเสียด้วย
การดูแล: กล้วยเป็นพืชที่ต้องการสารอาหารมากเป็นพิเศษ ยิ่งใครอยากชิมผลด้วย ยิ่งต้องได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ให้ขาดทั้งปุ๋ย แสงแดด และน้ำ แนะนำให้ปลูกลงดินให้ต้นแข็งแรงก่อนที่จะนำเข้าบ้าน เพราะถึงอย่างไรกล้วยก็ยังเป็นกล้วยอยู่วันยันค่ำ มันไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่ในบ้านนั่นแหละครับ
ราคา: 300 – 500 สำหรับกล้วยด่าง และ 2,000 บาท ขึ้นไปสำหรับกล้วยด่างฟลอริดา แล้วแต่ขนาดของต้นไม้
- ฟิโลเดนดรอนมรกตแดง หรือพิงก์ ปรินเซส (Philodendron pink princess)
ต้องยอมรับว่าพิงก์ ปรินเซสแต่เดิมเคยมีราคาแค่ไม่กี่ร้อย แต่หลังจากได้เห็นต้นไม้อวดโฉมผ่านอินสตาแกรมของญาญ่า อุรัสยา ก็ทำให้ราคาของน้องพิงก์พุ่งไปไกลจนถึงหลักพัน ด้วยความที่เป็นไม้เลื้อย จึงไม่ชอบแสงแดดจัด สามารถวางไว้ในบ้านที่แสงส่องผ่านรำไร ปลูกง่าย แตกกิ่งก้านสาขาไวไม่แพ้มอนสเตอรา ส่วนความตื่นเต้นของการปลูกพิงก์ ปรินเซสอยู่ที่การลุ้นสีชมพูอ่อนๆ บนใบเวลาแตกยอดอ่อนใหม่นี่แหละ ที่เราเองก็ลุ้นไม่แพ้ญาญ่าเช่นกัน
การดูแล: แสงแดด น้ำ ดินร่วน และอากาศถ่ายเท เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพืชตระกูลไม้เลื้อย แต่ระวังอย่าให้ความชื้นมากจนเกินไป อาจทำให้รากเน่าได้ วัสดุปลูกจึงควรระบายน้ำได้ดี สามารถเช็กได้โดยการจิ้มนิ้วลงไปในดิน ตลอดจนใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ
ราคา: 1,000-1,500 บาท
- พลูด่าง (Epipremnum aureum)
พลูด่างเป็นพืชปราบเซียนมานักต่อนัก เพราะขึ้นชื่อว่าเลี้ยงง่ายที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่วายมีคนตกม้าตายมานักต่อนัก พลูด่างสามารถเจริญเติบโตได้ทั้งในดินและในน้ำ ไปจนถึงเลื้อยเกาะกับต้นไม้ใหญ่ มีหลากหลายสายพันธุ์และสีสันให้เลือกปลูก เช่น พลูฉลุ, พลูงาช้าง, พลูทองหรือราชินีสีทอง, พลูราชินีหินอ่อน ฯลฯ หลายคนนิยมนำมาปลูกในแจกันหรือโหลแก้วให้ยอดแตกและเลื้อยเป็นทาง เพิ่มความสวยงามบนโต๊ะทำงานได้เป็นอย่างดี แถมยังเหมาะกับมือใหม่ที่เริ่มหาพื้นที่สีเขียวเข้ามาประดับประดาชีวิต เพราะราคาของพลูด่างยังเป็นมิตรที่สุดก็ว่าได้
การดูแล: การปลูกพลูด่างในน้ำสามารถตัดกิ่งของต้นพลูด่างมาแช่ในน้ำได้เลย ไม่กี่วันรากจะเริ่มงอกและค่อยๆ เติบโตจนเป็นไม้เลื้อยสวยงาม สามารถพรมน้ำให้ใบเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่เขาได้ ส่วนถ้าปลูกในดินก็ขอให้เป็นดินร่วนระบายน้ำได้ดี สามารถรดน้ำได้ทุกวัน พลูด่างในดินจะเติบโตง่ายกว่าพลูด่างในน้ำ รวมถึงพลูด่างที่เลี้ยงไว้กับต้นไม้ใหญ่จะมีขนาดใบใหญ่กว่าปกติ
ราคา: 20-300 บาท แล้วแต่สายพันธุ์
การปลูกต้นไม้ไม่มีถูกผิด ไม่มีสูตรเฉพาะตายตัวว่าต้องดูแลอย่างไร รดน้ำกี่ครั้ง แสงแดดรำไรหรือยัง เพราะพื้นที่ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้น หากคุณคิดจะเลี้ยงต้นไม้ ควรตรวจสอบสภาพพื้นที่ที่ใช้ปลูกก่อนเสมอว่า พื้นที่ตรงนี้เหมาะแก่การปลูกต้นไม้ประเภทไหน และเพียงพอหรือไม่หากมันเติบโตขึ้นในวันข้างหน้า นอกจากนี้อย่าลืมปัจจัย 4 ของต้นไม้ ได้แก่ ดิน น้ำ แสงแดด และอากาศถ่ายเทได้ดี ทั้ง 4 อย่างนี้สัมพันธ์กันเสมอ ขอให้จำไว้ว่า ต้นไม้เองก็มีชีวิต ไม่มีใครอยากโดนทิ้งไว้ในมุมห้อง ไร้การดูแลตลอดไป แต่การเอาใจใส่ช่วยให้ต้นไม้ของคุณเติบโตและงอกงาม รวมถึงช่วยผ่อนคลายในวันที่ความรู้สึกแย่ๆ ถามหาได้อย่างแน่นอน ขอให้สนุกกับการปลูกต้นไม้ที่บ้านนะครับ