บรรดาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BANK) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาเกือบครบแล้ว โดย 10 แบงก์ มีกำไรสุทธิรวม 5.12 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ทำได้ 4.66 หมื่นล้านบาท แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกำไรพิเศษของ BAY จากการขาย IPO หุ้นติดล้อ (TIDLOR) และหากดูเฉพาะกำไรปกติในไตรมาส 2 นี้ แบงก์ส่วนใหญ่มีกำไรที่หดตัวลงจากไตรมาสแรก
รัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี มองว่า ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มแบงก์ในไตรมาส 2 ออกมาใกล้เคียงกับที่คาดไว้ โดยเป็นภาพของการชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก เนื่องจากการตั้งสำรองฯ ที่เพิ่มขึ้น แรงกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิดระลอก 3 และมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนยังเห็นกำไรของหลายแบงก์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เช่น BBL หรือ KBANK เนื่องจากปีก่อนมีการตั้งสำรองฯ ค่อนข้างสูงมาก
“แนวโน้มช่วงที่เหลือของปีนี้ หากพิจารณาจากมุมมองของผู้บริหารแบงก์ อย่างกรณีของ KBANK ยังคงเป้าหมายต่างๆ ไว้เช่นเดิม ทั้งเรื่องของการตั้งสำรองหรือการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งสาเหตุที่ยังคงเป้าไว้เพราะสถานการณ์ตอนนี้ยังประเมินได้ยาก หากโควิดรอบนี้พีกในช่วงกลางเดือนสิงหาคม ก็มีโอกาสที่จะยังเป็นไปตามเป้าเดิมได้”
โดยภาพรวมแม้ว่าสถานการณ์โควิดจะยังน่ากังวล แต่เชื่อว่ากำไรรวมของกลุ่มแบงก์น่าจะเติบโตได้ราว 30% จากปีก่อน โดยกำไรของครึ่งปีหลังน่าจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก แต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิดว่าจะบานปลายหรือไม่
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนกลุ่มแบงก์ ในระยะสั้นราคาหุ้นแบงก์น่าจะถูกกดดัน เพราะภาพรวมของ GDP ไทยปีนี้แทบจะไม่เติบโต เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีจึงเกิดความกังวลเข้ามากดดันราคาหุ้น
“แต่เมื่อดูจาก Valuation ซึ่งปกติหุ้นแบงก์จะซื้อขายเท่ากับมูลค่าทางบัญชี แต่ตอนนี้หลายธนาคารซื้อขายต่ำกว่านั้นมาก สำหรับภาพระยะกลางถึงยาวอาจใช้จังหวะนี้ทยอยสะสมได้ แต่อาจจะยังไม่ต้องให้น้ำหนักมาก จนกว่าจะเริ่มเห็นไทม์ไลน์ของการเปิดประเทศที่ชัดเจนขึ้น”
ด้านนักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า ผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ในไตรมาส 2 ส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่ภาพครึ่งปีหลังยังประเมินค่อนข้างยาก ซึ่งผู้บริหารของหลายแบงก์ยังกังวลกับสถานการณ์โควิดในปัจจุบัน หากสถานการณ์ยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้คือยังไม่ดีขึ้นในช่วง 1.5 เดือนนี้ อาจทำให้กำไรไตรมาส 3 แย่ลง และการตั้งสำรองฯ อาจกลับมาสูงขึ้น
“กำไรของกลุ่มแบงก์ครึ่งปีหลังมีโอกาสจะแย่กว่าครึ่งปีแรกหากโควิดยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม กำไรรวมของทั้งปีน่าจะยังทำได้ราว 20% เพราะปีก่อนฐานต่ำมากจากการตั้งสำรองในระดับสูง แต่ปีนี้ค่อนข้างน่าเสียดายที่วัคซีนล่าช้า ทำให้ปัจจัยหนุนจากการเปิดประเทศยืดออกไป”
สำหรับการลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์ ขณะนี้ราคาสะท้อนปัจจัยลบในปัจจุบันไปมากแล้ว แต่อนาคตยังคาดการณ์ได้ยาก หากจะเลือกหุ้นแบงก์ในขณะนี้อาจจะเลือกแบงก์ที่สินเชื่อเติบโตได้ดีกว่ากลุ่มอย่าง KBANK และ KKP เพราะเมื่อสถานการณ์ฟื้นตัวกลับมา หุ้นเหล่านี้จะกลับมาได้เร็วกว่า
ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ
