เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่ The Pizza Company จะจัดโปรโมชันที่ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ นั่นคือ ‘โปร 1 แถม 1’ ในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นเดือนเกิดของแบรนด์ เช่นเดียวกับทุกปี ในปี 2564 นี้โปรดังกล่าวก็หวนกลับมาอีกครั้ง แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือครั้งนี้ต้องมีการอัดฉีดด้วยการ ‘แจกทอง’ โดยใช้ชื่อแคมเปญว่า 1 แถม 1 พลัส
ภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป The Pizza Company ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า “ปี 2564 นั้นยากกว่าปีก่อนๆ” เพราะแม้โปรโมชันซิกเนเจอร์ของแบรนด์ที่ไม่ว่าทำเมื่อไรก็ยอดขายพุ่งตลอดจนแบรนด์อื่นๆ หันไปทำตาม
แต่สิ่งที่แตกต่างมากกว่าปีอื่นๆ คือตั้งแต่ต้นปีเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้คนเดินเข้าห้างน้อยลง โรงเรียนต้องปิด เศรษฐกิจที่เรื้อรังอยู่แล้วยังไม่ได้รับการกระตุ้นที่มากพอ ดังนั้นกำลังซื้อของผู้บริโภคจึงซึมลงไป โควิด-19 รอบแรกผู้บริโภคที่ว่าไม่มีเงินแล้วยังมีมากกว่ารอบใหม่ที่ไม่มีเงินมากๆ
“ตอนแรกเราจะเพิ่มสีสันด้วยกิจกรรมและเมนูอื่นๆ แต่กลายเป็นว่าตลาดซึมลงกว่าที่เราคิด ดังนั้นในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนเริ่มแคมเปญเราจึงรื้อใหม่ โดยเป็นการแจกทองครั้งแรกในรอบ 20 ปีของการทำโปรโมชัน และถือเป็นครั้งแรกของแบรนด์ด้วย”
จริงๆ แล้วปีที่แล้ว The Pizza Company เคยทำแคมเปญแจกของอยู่ 1 ครั้ง โดยเป็นจักรยานยนต์ประมาณ 20 คัน แม้จะได้รับการตอบรับที่ดี แต่เมื่อถามผู้บริโภคแล้วกลับอยากได้สินค้าที่สามารถแปลงเป็นเงินได้ทันที ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการแจกทองซึ่งสามารถรับรู้ถึงมูลค่าได้เลย โดยแจกรวมทั้งสิ้น 200 บาท มูลค่า 5 ล้านบาท
โดยการแจกทองนั้นจะทุกสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึง 15 เมษายน 2564 ครั้งนี้ถือเป็นการขยายระยะเวลาการทำโปร 1 แถม 1 ด้วย เพราะปกติแล้วการจัดโปรจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงปลายเดือนมีนาคม แต่ครั้งนี้ได้ขยายไปถึงสงกรานต์ หวังจะได้ยอดขายจากช่วงเทศกาลมากระตุ้นด้วย
นอกเหนือจากโปรโมชันแล้ว The Pizza Company ยังเปิดตัวเมนูใหม่ที่ชื่อว่า ‘พิซซ่ามหาเศรษฐี’ โดยมีชีสระดับเฟิร์สคลาสทั้งในหน้าพิซซ่า ขอบชีสบอล โดยมาพร้อมหน้าใหม่ หน้า 4 ชีสทองคำและเบคอน โดยเมนูนี้ได้เข้าร่วมแคมเปญ 1 แถม 1 พลัส เช่นกัน โดยราคา 2 ถาดอยู่ที่ 439 บาท
แม่ทัพ The Pizza Company คาดหวังว่าโปร 1 แถม 1 ในรอบนี้จะเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กที่กระตุ้นให้ลูกค้าเดินเข้าร้านอีกครั้ง หลังพบว่าตั้งแต่เปิดปีใหม่เข้ามา ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ทำให้ยอดขายจากการนั่งรับประทานในร้านลดลงเฉลี่ย 50-60% ด้วยกัน ดังนั้นรอบนี้จึงหวังว่าตัวเลขการนั่งกินในร้านจะกลับมาอยู่ที่ 80% ได้อีกครั้ง
“เราคาดหวังว่ายอดขายเฉพาะแคมเปญจะเท่ากับปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท หรืออย่างน้อยที่สุดเราก็อยากให้ได้ยอดขาย 800 ล้านบาทด้วยกัน”
แต่กระนั้นยอดขายที่ตั้งไว้ก็มีความท้าทายหลายด้าน ไม่เพียงแต่สถานการณ์เงินในกระเป๋าของผู้บริโภคที่ยังจับจ่ายไม่คล่องมือ ต้องลุ้นว่าโรงเรียนจะเปิดเทอมไหม ซึ่งหากปิด ยอดขายก็น่าจะเป็นไปตามที่ประเมินไว้
ภาณุศักดิ์ยอมรับว่าการระบาดรอบสองทำให้ธุรกิจเหนื่อยกว่ารอบแรก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรการกระตุ้นของรัฐอย่างคนละครึ่งหรือเราชนะถูกนำไปใช้กับร้านขนาดเล็กหมด “ในมุมมองส่วนตัว อย่างน้อยอยากให้ทุกบริษัทเข้าร่วมแคมเปญกระตุ้นจากภาครัฐเหมือนกันหมด เราอยากให้คนมาใช้เงินกับเราบ้าง เพราะไม่ว่าจะบริษัทเล็กหรือใหญ่ต่างก็เจ็บตัวเหมือนกันหมด”
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์