ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ‘ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี’ หรือ ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ มีการเติบโตที่สูงเป็นอย่างมาก โดยมีสาเหตุมาจากข่าวเชิงบวกและกระแสความต้องการลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ ตลอดจนผลตอบแทนที่สูง เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

คริปโตเคอร์เรนซีจึงได้กลายเป็นสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ในหมู่นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนที่พยายามแสวงหาสินทรัพย์ใหม่ๆ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น (Search for Yield) จากภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงในกลุ่มนักลงทุนที่ชื่นชอบความเสี่ยงและต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนไปยังสินทรัพย์ใหม่ๆ ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

 

ระดมทุน 1,300 ล้านบาท

สิ่งหนึ่งที่สะท้อนได้ว่า คนไทยนิยมลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีคืออัตราการเติบโตของ Zipmex ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ​​​หรือ ก.ล.ต.

 

ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนใช้งานแล้วกว่า 1 ล้านคน หลังจากเข้าสู่ตลาดประเทศไทยได้ 1 ปีกว่าๆ (Zipmex ก่อตั้งมา 3 ปีแล้วในต่างประเทศ นอกจากไทย Zipmex ยังทำตลาดอยู่ในออสเตรเลีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย) มูลค่าการเทรดกำลังพุ่งทะยานขึ้นไปสู่มูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3 แสนล้านบาท สินทรัพย์ภายใต้การจัดการของ Zipmex ณ เดือนสิงหาคม 2564 อยู่ที่ 360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

การเติบโตของ Zipmex กลายเป็นแรงดึงดูดให้กับบรรดานักลงทุน จนเป็นที่มาของการระดมทุนรอบ Series B มูลค่า 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1,300 ล้านบาท โดยจะเป็นการระดมทุนเข้าสู่ Zipmex Asia ซึ่งดูแลธุรกิจในทุกประเทศของ Zipmex

 

การระดมทุนดังกล่าวมีกลุ่มทุนที่เข้าร่วมทั้ง บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุน (CVC) ในเครือธนาคารกรุงศรีฯ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) และยังมี MindWorks Capital ซึ่งเป็นบริษัทจากฮ่องกง รวมถึงผู้นำในการระดมทุนรอบ Series A ที่ผ่านมา Jump Capital ผู้บริหารเงินร่วมลงทุนในสหรัฐฯ ร่วมลงทุนในรอบนี้ด้วย

 

“การระดมทุนดังกล่าวทำให้ Zipmex มีมูลค่าหลักหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำลังมุ่งไปสู่การเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลักพันล้านดอลลาร์สหรัฐในไม่ช้านี้” ดร.เอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานผู้บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง Zipmex Thailand กล่าว

 

 

แน่นอนว่าหาก Zipmex เป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลักพันล้านดอลลาร์สหรัฐ จะทำให้ Zipmex มีสถานะเป็น ‘ยูนิคอร์น’ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สตาร์ทอัพทุกรายอยากไปให้ถึง

 

“1 ปีที่ทำ Zipmex มา เราไม่คิดว่าเราจะมาถึงมูลค่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่คือ Zipmex มาเร็วเกินกำหนด และการที่มีทุนใหม่เข้ามาในรอบนี้จะทำให้ Zipmex ไปถึงยูนิคอร์นได้เร็วกว่าเดิม ซึ่งเราหวังว่าจะเกิดขึ้นภายใน 1-2 ปีนี้”

 

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายการเป็น ‘ยูนิคอร์น’ ไม่ใช่หลักชัยเดียวที่ Zipmex อยากจะเป็น แต่หลักชัยที่แท้จริงคือการเข้าสู่การเป็น ‘ธนาคารสินทรัพย์ดิจิทัล’ (Crypto Bank)

 

ขยายบริการที่หลากหลาย

Zipmex ย้ำชัดว่า ตัวเองนั้นไม่ได้มองแค่การเป็น ‘แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล’ อีกต่อไป แต่มองไปถึงการเป็นแพลตฟอร์มที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และทำให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเทรด การออม หรือการชำระ

 

สิ่งเหล่านี้สะท้อนได้จากบริการต่างๆ ของ Zipmex ที่กำลังเติบโตขึ้นในทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็น ZipTrade ที่มีการเติบโตถึง 256% จากต้นปีนี้ ขณะที่ Zipmex เองมองว่านักลงทุนมีความต้องการถือคริปโตเคอร์เรนซีระยะยาว หรือการออมเพื่อให้เกิดโบนัสมากขึ้น เช่นโปรแกรม ZipUp ที่เป็นการออมแบบกระแสรายวัน หรือ ZipLock ที่เป็นการออมแบบฝากประจำ 45 วัน มีคนสนใจเข้ามาร่วมออมกับ Zipmex เพิ่มสูงถึง 450% ตั้งแต่ต้นปี

 

Zipmex เองยังมี Zipmex Token (ZMT) เป็นของตัวเอง ที่จะเป็นกุญแจสำคัญในการที่จะให้ลูกค้า เข้าถึงระบบนิเวศของ Zipmex อย่างทั่วถึง มีการซื้อขายสูงถึงเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อสิ้นปี 2563

 

 

นอกจากนี้ Zipmex ยังได้เห็นเทรนด์ของ Cashless Society ที่ผู้บริโภคเริ่มที่จะใช้เงินสดกันน้อยลง และหันมาใช้ Digital Wallet กันมากขึ้น ทำให้ Zipmex ออกโปรแกรม ZipSpend ซึ่งเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งภายในระยะเวลาเพียงแค่ 5 เดือน มีบริษัทชั้นนำในประเทศไทย ทั้งบริษัทเอกชนและบริษัทมหาชน เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจกับ Zipmex เกินกว่า 100 บริษัทแล้ว และเกิดการใช้จ่ายขึ้นจริง มีลูกค้าของ Zipmex ได้ใช้คริปโตเคอร์เรนซีชำระแทนเงินสด หรือบัตรเครดิตในการซื้อรถยนต์ซูเปอร์คาร์ จำนวน 2 คัน และรถยนต์ไฟฟ้า Tesla อีก 3 คันจากพันธมิตรทางธุรกิจของ Zipmex

 

Zipmex ได้มีการเปิดตัว ZipWorld แบบเบต้าเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการสุด Exclusive ที่หาที่ไหนไม่ได้ โดยจะต้องใช้ ZMT ในการแลกซื้อเท่านั้น และจะมีแค่บนแพลตฟอร์ม ZipWorld ที่เดียว ซึ่งบริการนี้นับว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว สินค้า Limited Edition ได้ Sold Out ภายในเวลาไม่ถึงนาที และเห็นได้ว่าผลตอบรับจากลูกค้าดีมาก ทำให้ Zipmex มุ่งที่จะพัฒนาต่อยอด NFT เพื่อลิสต์ลงบนแพลตฟอร์ม ZipWorld ในอนาคตต่อไป

 

Zipmex ยังได้ตั้งเป้าที่จะออกผลิตภัณฑ์ตามโรดแมป รวมไปถึงการลิสต์เหรียญใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายขอบเขตการให้บริการ และกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้ Zipmex ในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น

 

ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเปิดตัว ZLaunch ที่จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของ Token ใหม่ๆ ที่ Zipmex คัดสรรมาให้ก่อนใคร นอกจากนี้ Zipmex ยังได้จับมือกับ Visa เพื่อที่จะออกบัตรเดบิต Supercharge with ZMT ซึ่งลูกค้าของ Zipmex ที่มีบัตรนี้จะสามารถใช้จ่ายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหนก็ได้ในโลกที่รับ Visa

 

ขณะเดียวกันการมีนักลงทุนอย่าง กรุงศรี ฟินโนเวต, แพลน บี มีเดีย และ มาสเตอร์ แอด จะช่วยให้ Zipmex ต่อยอดและขยายการใช้งานของ ZMT ออกไปอีกเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในการออกผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวลในเรื่องของกฎข้อกำหนดต่างๆ

 

ตัวอย่างเช่น ขยายการเข้าถึงไปสู่กลุ่ม E-Sport, Game และ Entertainment กับธุรกิจของแพลน บี ที่จะทำให้เกิด Use Case ที่มากขึ้นสำหรับเหรียญ ZMT อีกด้วย

 

ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้ Zipmex ก้าวเข้าสู่การเป็น ‘ธนาคารสินทรัพย์ดิจิทัล’ (Crypto Bank)

 

 

‘ธนาคารสินทรัพย์ดิจิทัล’ เป้าหมายที่ Zipmex วางไว้

สำหรับมุมมองและกลยุทธ์ของการก้าวเข้าไปสู่การเป็น ‘ธนาคารสินทรัพย์ดิจิทัล’ (Crypto Bank) คือสิ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญและเปลี่ยนมุมมองในเรื่องการลงทุน การออม และการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วจากการใช้งานจริงที่มีอยู่

 

สิ่งที่ Zipmex กำลังทำคือการเน้นย้ำจุดประสงค์ของ Zipmex ว่าไม่ได้ต้องการจะเข้ามา ‘แทนที่’ ธนาคารแต่อย่างใด แต่ Zipmex กำลังเข้ามา ‘เติมเต็ม’ และ ‘เป็นส่วนหนึ่ง’ ของระบบนิเวศของการเงินและการธนาคารผ่านผลิตภัณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัลของ Zipmex

 

“อย่างที่เรียนให้ทราบ จุดเริ่มต้นของเราแม้อาจจะเริ่มจากการเป็น Exchange แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเรามีการใช้เทคโนโลยีและร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ต่างๆ รวมถึงธนาคารชั้นนำอย่างกรุงศรีฯ เพื่อพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ของเราให้ทัดเทียมกับสิ่งที่ธนาคารแห่งหนึ่งสามารถที่จะให้ได้

 

“โดยเรามีธงในเรื่องของการชูนโยบายการลงทุนและการออมไปพร้อมๆ กันผ่านผลิตภัณฑ์ของเราอย่าง ZipUp และ ZipLock หรือแม้แต่เหรียญ ZMT ของเราเอง เราพยายามสร้างเหรียญของเราให้มีมูลค่า สามารถจับต้องและเอามาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เช่น ซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือรถยนต์ เพื่อให้เกิดทางเลือกในการใช้จ่ายนอกจากเงินสดมากขึ้น

 

“และเราทำทุกอย่างภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงาน ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้การดำเนินงานของเราตั้งอยู่บนความถูกต้องและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐ”

 

ขณะเดียวกัน ดร.เอกลาภ ได้สะท้อนว่า ปัจจุบันตลาดคริปโตเคอร์เรนซีมีมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตลาดทองคำมีมูลค่าอยู่ที่ 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังไม่ถึงครึ่งของตลาดทองเสียด้วยซ้ำ

 

“แน่นอนการเป็นสินทรัพย์ประเภทใหม่ทำให้มีความผันผวนที่สูง แต่ถ้าดูในประวัติศาสตร์ 13 ปีที่ผ่านมาแบบปีต่อปีจะพบว่า ความผันผวนของสินทรัพย์ดิจิทัลและบิทคอยน์ลดลงเรื่อยๆ ทุกปี ซึ่งการเก็งกำไรเกิดขึ้นกับสินทรัพย์ทุกประเภท แต่ต่อไปความผันผวนจะลดน้อยลง และทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไรอย่างเดียว”

 

ดังนั้นทิศทางการดำเนินงานต่อไปของ Zipmex จึงเป็นการโฟกัสที่การพัฒนาระบบ ผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกๆ ด้านโดยเฉพาะความปลอดภัยและการเสริมสร้างชีวิตที่ดีขึ้น