การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ครั้งที่ 20 เตรียมเปิดฉากในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ ที่มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง ซึ่งผู้แทนหลายพันคนจะมารวมตัวกันเพื่อร่วมการประชุมที่ปูทางสู่การเป็นผู้นำสมัยที่ 3 ของ สีจิ้นผิง
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ รัฐบาลต้องการให้จีนมีเสถียรภาพและสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่เป็นใจ เมื่อโควิดไม่เล่นด้วย
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ ประชาชนหลายสิบล้านต้องถูกกักตัวอยู่แต่ในบ้านอีกครั้ง เมื่อมีการล็อกดาวน์เมืองต่างๆ 60 แห่ง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเช่นนี้กำลังสร้างแรงกดดันทางการเมืองต่อ สีจิ้นผิง ผู้ซึ่งกลายเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของจีนนับตั้งแต่ เหมาเจ๋อตง ผู้นำยุคคอมมิวนิสต์คนแรก
กลยุทธ์โควิดเป็นศูนย์ หรือ ‘Zero-COVID’ ของรัฐบาล ยังคงผูกติดกับ สีจิ้นผิง อย่างแยกไม่ออก ความสำเร็จของนโยบายนี้ก็คือความสำเร็จของเขา แต่ถ้านโยบายล้มเหลว คงไม่มีใครในประเทศจีนกล้าตอบว่าเป็นความล้มเหลวของท่านผู้นำ
ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกต่างรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีนและเรียนรู้ที่จะอยู่กับไวรัส แต่จีนยังคงยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยวที่จะกำจัดเชื้อโรคร้ายนี้ให้ออกไปจากประเทศ ไม่ว่าจะมีเคสหรือคลัสเตอร์ใหม่ๆ โผล่ขึ้นมากี่ครั้งก็ตาม
การล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด, การปูพรมตรวจหาเชื้อ, การสแกน Health Code เพื่อตรวจสอบสถานะสุขภาพบนโทรศัพท์มือถือ และข้อจำกัดการเดินทาง ช่วยให้โรงพยาบาลของจีนไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ผู้ป่วยล้นทะลัก แต่สิ่งนี้มีค่าใช้จ่ายที่ต้องแลกมาคือการว่างงานของเยาวชน ซึ่งล่าสุดอยู่ที่ 18.7% และเคยพุ่งขึ้นไปถึง 20% เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ทว่า แม้ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก แต่รัฐบาลก็ยังคงยืนกรานที่จะบังคับใช้มาตรการควบคุมต่างๆ อย่างเคร่งครัด แทนที่จะหันไปใช้วิธีการป้องกันอย่างที่หลายประเทศเลือกใช้ซึ่งก็คือการรณรงค์หรือบังคับให้ประชาชนฉีดวัคซีน แถมการฉีดวัคซีนในประเทศยังจำกัดอยู่แค่เฉพาะวัคซีนที่พัฒนาและผลิตในประเทศเท่านั้น
นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลกำลังส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศ ซึ่งไม่รู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะดำเนินต่อไปอีกนานเท่าใด
ในสัปดาห์นี้รถไฟที่เดินทางออกจากซินเจียงถูกระงับการให้บริการ และหลายพื้นที่ของภูมิภาคตะวันตก รวมถึงอุรุมชี เมืองเอกของซินเจียง ถูกล็อกดาวน์ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าไม่สามารถหยุดการแพร่กระจายของไวรัสได้
การล็อกดาวน์ที่เข้มงวดทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถหาอาหารและยาได้ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คนในด้านอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป
3 ปีในวิกฤต ทำให้ประชาชนหมดแรง แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ดังเช่นหลายชีวิตในเขตชานเมืองของปักกิ่ง คนงานที่มีรายได้ปานกลางอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าหยานเจียว (Yanjiao) เพราะค่าเช่าถูกกว่าที่อื่น แต่ต้องแลกกับการเดินทางไกลสักหน่อย
ในช่วงเวลาปกติ การเดินทางข้ามฟากจากอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำในมณฑลเหอเป่ยมาทำงานในเมืองหลวงอาจไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง แต่ในช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาด สิ่งนี้หมายถึงการฟันฝ่าอุปสรรคเลยทีเดียว
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เกิดคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อในหยานเจียว ส่งผลให้ผู้คนจากเขตนี้ถูกห้ามไม่ให้เข้าปักกิ่ง จนนำไปสู่การปะทะกันระหว่างตำรวจกับบรรดามนุษย์เงินเดือนและคนใช้แรงงานที่พยายามจะข้ามฝั่งไปทำงาน
เมื่อการเดินทางปกติเป็นเรื่องต้องห้าม ตั้งแต่นั้นมาภาพการพายเรือยางข้ามแม่น้ำเพื่อแอบเข้าเมืองจึงกลายเป็นภาพที่คนในท้องถิ่นเห็นจนชินตา อย่างไรก็ดี ขณะนี้ปักกิ่งกลับมาเปิดเมืองแล้ว แต่ทุกคนที่เข้ามาในปักกิ่งยังต้องสแกนแอปที่เชื่อมโยงกับระบบสุขภาพเพื่อแสดงว่าตนปลอดโควิด
ทุกเช้าในหยานเจียว รถโดยสารประจำทางต้องหยุดเพื่อรอให้ตำรวจขึ้นมาไล่ตรวจผู้โดยสารทุกคนบนรถ การเดินทางที่ต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าเดิมทำให้หลายคนไปทำงานสาย
“หลายคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ถูกบริษัทของพวกเขาไล่ออก” ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต่อแถวขึ้นรถบัสกล่าว
เมืองหลวงเก่าเงียบเหงา
เมื่อนั่งรถไฟจากปักกิ่งไปซีอาน ทันทีที่ถึงสถานีจะพบกลุ่มคนจำนวนมากยืนออกันอยู่ เพื่อพยายามดาวน์โหลดแอปสุขภาพที่ทางการท้องถิ่นกำหนดให้ทุกคนต้องมี จากนั้นทุกคนต้องตรวจ PCR ใหม่ก่อนออกจากสถานี
ซีอานเป็นเมืองสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนมาตั้งแต่ยุคเส้นทางสายไหมที่ทอดยาวข้ามเอเชียกลางไปสู่ตะวันออกกลางและยุโรป ปัจจุบันซีอานนับเป็นหนึ่งในเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นๆ ของจีน
สตีเฟน แมคโดเนลล์ นักข่าว BBC สอบถาม แอดดิสัน ซุน ไกด์นำเที่ยวภาษาอังกฤษ ว่า โรคระบาดนี้สร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมของเขามากเพียงใด
“ร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ” เขากล่าว “เพราะไม่มีใครมาจีนได้ ไม่มีใครมาซีอานได้”
ซีอานถูกล็อกดาวน์หลายครั้ง ครั้งที่หนักที่สุดคือชาวเมือง 13 ล้านคนไม่สามารถออกจากบ้านได้เป็นเวลาถึง 1 เดือน ดังนั้นสถานที่ต่างๆ ของซีอาน ซึ่งรวมถึงสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ หรือ The Terracotta Warriors and Horses อันโด่งดัง จึงว่างเปล่า ไร้ซึ่งนักท่องเที่ยว
แอดดิสัน ซุน เล่าว่า เขากลายเป็นซึมเศร้าเมื่อต้องหยุดทำงาน
“ไม่มีรายได้ นี่คือจุดตกต่ำที่สุดของผม” เขากล่าว
อย่างไรก็ดี วันหนึ่งเขาดึงตัวเองออกมาจากภาวะซึมเศร้านั้นได้ เมื่อมองดูลูกสาววัย 8 ขวบ “ผมต้องลุกขึ้นยืนให้ได้ เพราะผมควรเป็นแบบอย่าง ผมเป็นฮีโร่ของลูกสาว” เขาเริ่มโพสต์เรื่องการท่องเที่ยวซีอานในรูปแบบออนไลน์ ตอนนี้เขากำลังสอนภาษาอังกฤษอยู่ด้วย แต่ที่สุดแล้วเขาอยากให้ถึงวันที่นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา
ขณะที่ในย่านชาวมุสลิมเก่าแก่ของเมือง ซึ่งปกติเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว กลับปรากฏภาพเจ้าของแผงขายอาหารออกมายืนตามหน้าร้านเพื่อเรียกลูกค้า ร้องโฆษณาเคบับและขนมหวานของทางร้าน
“ฉันจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 2 ปีในวันก่อนล็อกดาวน์ 1 วัน” จางหมิน เจ้าของร้านขายเข็มขัดและกระเป๋าทำเอง กล่าว “เรามาจากต่างจังหวัด เราแค่ต้องการทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จด้วยตัวเอง”
เมื่อถูกถามว่า เธอคิดว่าสถานการณ์จะกลับเป็นปกติเมื่อไร?
“มันยากที่จะรู้” เธอกล่าว “การระบาดเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
เมื่อ ‘โรงงานของโลก’ หยุดทำงาน
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของจีนได้รับแรงหนุนจากการส่งออก แต่นโยบายโควิดเป็นศูนย์ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการผลิต ในหลายเมืองหยุดชะงัก ส่งผลให้ผู้ซื้อจากต่างประเทศต้องเปลี่ยนไปหาซื้อสินค้าจากแหล่งอื่น
เตียซื่อเฉียว ในมณฑลเจียงซู ทางเหนือของเซี่ยงไฮ้ เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมสิ่งทอ
ที่โรงงานขนาดเล็ก พนักงานต้องก้มหน้าก้มตาอยู่กับจักรเย็บผ้า เพื่อชดเชยผลผลิตที่สูญเสียไปตลอดทั้งฤดูกาลอันเนื่องมาจากการล็อกดาวน์
ในระหว่างที่ผู้จัดการโรงงานเริ่มเล่าความยากลำบากที่โรงงานของเขาต้องเจอ การสัมภาษณ์ต้องหยุดลงเมื่อมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในโรงงานและเริ่มแอบถ่ายการสัมภาษณ์ด้วยโทรศัพท์มือถือ จากนั้นเขาก็ไปคุยกับเจ้าของ จนกระทั่งเจ้าของโรงงานออกมาบอกกับนักข่าวของ BBC ว่า “ผมขอโทษจริงๆ ผมทำไม่ได้”
ก่อนเกิดโรคระบาด การเติบโตของจีนอยู่ที่ประมาณ 6% แต่ตัวเลข GDP ล่าสุดอยู่ที่ 0.4% รัฐบาลท้องถิ่นรู้ดีว่านโยบายโควิดเป็นศูนย์กำลังทำลายเศรษฐกิจ และไม่ต้องการให้ใครพูดถึงเรื่องนี้
ในร้านค้าเล็กๆ ที่ขายสินค้าเกี่ยวกับเครื่องนอน ผู้หญิงคนหนึ่งบอกเราว่ายอดขายของร้านลดลงครึ่งหนึ่ง
ทันใดนั้นผู้หญิงอีกคนก็ปรากฏตัวขึ้นในร้านโดยแสร้งทำว่าเป็นลูกค้า “เฮ้ พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ” เธอถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
เมื่อวัคซีนที่ผลิตในประเทศถูกตั้งคำถาม
BBC มีโอกาสได้พูดคุยกับ ศ.เหลียงว่านเหนียน หัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญโควิดของรัฐบาล ซึ่งยอมรับว่าวัคซีนที่ผลิตในจีนไม่ได้ผลในการหยุดการติดเชื้ออย่างที่หวังไว้ แต่กล่าวว่าวัคซีนป้องกันการเสียชีวิตและอาการเจ็บป่วยรุนแรงได้
แล้วเขาคิดว่าโควิดเป็นศูนย์จะจบลงเมื่อใด?
“มันยากที่จะพูด” เขาตอบ
“สิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจคือเราไม่สามารถฆ่าไวรัสได้ในเร็วๆ นี้ เรากำลังรอยาและวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
สิ่งที่ขัดขวางการเปิดประเทศของจีนคือกลุ่มคนที่ไม่คิดว่าการฉีดวัคซีนปลอดภัย
ศ.เหลียง ยอมรับว่า ทางการต้องทำมากกว่านี้ เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเชื่อว่าวัคซีนปลอดภัย
ทางการจีนใช้วิธีแยกปู่ ย่า ตา ยาย และลูกเด็กเล็กแดง ออกจากครอบครัว และบังคับพวกเขาให้เข้าศูนย์กักกัน หรือปิดเมืองทั้งเมืองเป็นเวลาหลายเดือน แต่กลับไม่ให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีน แพทย์ชาวจีนบางคนถึงกับบอกผู้ป่วยว่าไม่ควรฉีดวัคซีน
ศ.เหลียง รู้ว่ามีปัญหานี้อยู่
“คนชราหลายคนมีโรคประจำตัว พวกเขาคิดว่ามันไม่ปลอดภัยที่จะฉีดวัคซีน แต่ในความเป็นจริงมันปลอดภัย เราต้องส่งข้อความนี้ออกไป” เขากล่าว
เมื่อถูกถามว่า หลังประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์กลางเดือนตุลาคม โควิดเป็นศูนย์จะถูกยกเลิกหรือไม่?
“มันตอบยากนะ” เขาตอบพร้อมกับหัวเราะเจื่อนๆ “ผมเป็นแค่นักวิชาการ”
ณ เวลานี้ดูเหมือนรัฐบาลยังรีรอหรือลังเล… แน่นอนว่าไม่มีทางเลือกใดที่ง่าย และแน่นอนอีกเช่นกันว่าจีนไม่สามารถปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ตลอดไปได้
ภาพ: Kevin Frayer / Getty Images
อ้างอิง: