การแข่งขันแบดมินตันสะสมคะแนนโลก HSBC BWF World Tour ระดับซูเปอร์ 1,000 รายการที่เก่าแก่สุดในโลก YONEX All England Open 2020 ซึ่งเป็นศึกออล อิงแลนด์ครั้งที่ 110 ชิงเงินรางวัลรวม 1,100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 34,100,000 บาท ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา รอบชิงชนะเลิศ ประเภทคู่ผสม บาส-เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ ปอป้อ-ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มือ 3 ของโลก และคู่มือ 3 ของรายการ พบ ปราวีน จอร์แดน กับ เมลาติ เดวา อ็อคตาเวียนติ คู่มือ 5 ของโลก และคู่มือ 5 ของรายการจากอินโดนีเซีย
ผลปรากฏว่า เกมแรกคู่อินโดนีเซียแซงในช่วงท้ายเอาชนะไปก่อน 21-15 แต่เกมสอง คู่ของเดชาพลกับทรัพย์สิรีแก้เกมมาดี เอาชนะไป 21-17 ไล่ขึ้นมาเป็น 1-1 เกม ต้องมาลุ้นในเกมสุดท้าย ซึ่งคู่ไทยพยายามสู้เต็มที่ แต่ต้าน ปราวีน จอร์แดน กับ เมลาติ เดวา อ็อคตาเวียนติ ไม่ไหว พ่ายไปอีก 8-21 สรุปคู่ของไทยแพ้ไป 1-2 เกม สกอร์ 15-21, 21-17, 8-21 ได้เพียงรองแชมป์ และถือเป็นครั้งที่ 8 ที่นักแบดมินตันไทยได้เพียงรองแชมป์ แต่คู่ บาส-ปอป้อ ก็ยังได้เงินรางวัลปลอบใจ 38,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,193,500 บาท ส่วนคู่อินโดนีเซียรับเงินรางวัล 81,400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,523,400 บาท
หลังการแข่งขัน คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า “รู้สึกเสียดายที่บาส-ปอป้อไม่สามารถจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการแบดมินตันโลกได้ แต่ก็ขอชื่นชมว่าทั้งคู่ได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แม้ทำได้เพียงรองแชมป์ แต่พวกเขาก็แสดงถึงพัฒนาการ ทักษะฝีมือที่ตอนนี้ถือเป็นแถวหน้าของโลกในประเภทคู่ผสม และเชื่อว่าจะพัฒนาต่อไปได้อีกแน่นอน หลังจากนี้คงต้องโฟกัสไปที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจากฟอร์มที่ดีเช่นนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าประเทศไทยมีลุ้นคว้าเหรียญรางวัลแบดมินตันในโอลิมปิกเกมส์หนนี้ได้แน่นอน”
นอกจากนี้คุณหญิงปัทมายังกล่าวถึงการที่สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ยุติ 12 รายการแข่งขันสะสมคะแนนโลกที่ให้การรับรองตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม ถึง 12 เมษายน ว่า BWF กับคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ต่างติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งส่วนตัวในฐานะ IOC เมมเบอร์ ของประเทศไทย ก็ทราบเรื่องราว และจะนำมาแจ้งให้กับผู้เกี่ยวข้อง และชาวไทยได้รับทราบต่อไป เพื่อให้คณะนักกีฬาไทยเตรียมแผนรับมือต่อไป แม้จะยอมรับว่ากระทบกับความต้องการเก็บคะแนนคัดเลือกไปแข่งขันรอบสุดท้ายก็ตาม แต่สุขภาพของนักกีฬาและประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเชื่อมั่นว่าหากเราร่วมมือกันจะก้าวผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปได้แน่นอน ซึ่งในส่วนของนักแบดมินตันไทยที่กลับมา ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนและระเบียบตามที่รัฐบาลกำหนด คือต้องกักตัวเองเพื่อดูอาการ 14 วัน”
ภาพ: Badminton Photo
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า