วรางคณา อัครสถาพร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ “XPG” เปิดเผยว่า ปี 2568 แม้ครึ่งปีแรกแม้เศรษฐกิจและเศรษฐกิจโลกจะผันผวนหนัก จากความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าและภาษีสหรัฐฯ แต่บริษัทยังสร้างรายได้ ได้ตามเป้าหมาย จากการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ลูกทั้ง 2 กลุ่ม ทั้งกลุ่มที่ต้องการเงินลงทุน ผ่านธุรกิจการให้บริการสินเชื่อของ XPG และกลุ่มที่เป็นนักลงทุน ที่ต้องการแสวงหาความมั่นคงทางการเงินผ่านบริการทางการเงินจาก Ecosystem ของกลุ่ม XPG
โดยครึ่งปีแรก สามารถทำรายได้แล้ว 462.93 ล้านบาท กำไรสุทธิ 89.56 ล้านบาท หลักๆ มาจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ที่ให้บริการทั้งกองทุนรวม และบริหารจัดการกองทุน ส่วนบุคคลในสินทรัพย์ทั้งในตลาดและนอกตลาด ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด (XSpring AM)
โดยเฉพาะการเปิดตัวกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น การเปิดตัวกองทุนเปิด เอ็กซ์สปริงเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์และยูเรเนียม (X-NUCTECH) ที่ล่าสุด (วันที่ 29 ตุลาคม 2568) ให้ผลตอบแทนแล้ว 39.05% นอกจากนี้ยังมีกองทุน X-EMBOND ลงทุนในตราสารหนี้ ตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกเพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจผันผวน เพื่อเป็นทางเลือกในการล็อกผลตอบแทนสูง ก่อนจะเข้าสู่เทรนด์ดอกเบี้ยขาลง
นอกจากนี้ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (KTX) ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบัน KTX ครองส่วนแบ่งการขายตราสาร แสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt: DR) สูงสุดในตลาดหลักทรัพย์ อย่างต่อเนื่อง โดยมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 20%
รวมถึงธุรกิจสินเชื่อ ทั้ง Private Credit ของ XPG ที่เติบโตอย่างโดดเด่น โดยได้รับปัจจัยบวก จากสถาบันทางการเงินขนาดใหญ่เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ความต้องการสินเชื่อ ในกลุ่มธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น XPG จึงได้ออกแบบโซลูชันโครงสร้างหนี้ที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ผู้ประกอบการที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน ภายใต้แนวทางการทำงานร่วมกันของ Ecosystem ในกลุ่มธรุกิจการเงิน XSpring เช่น ลูกค้าที่ใช้บริการด้านวาณิชธนกิจ หรือด้านสินทรัพย์ดิจิทัล และลูกค้ากองทุน สามารถส่งต่อมาที่สินเชื่อได้ทันทีเมื่อฝั่งลูกค้าธุรกิจต่าง ๆ ต้องการเสริมสภาพคล่อง ขณะที่ลูกหนี้คุณภาพดีจากสินเชื่อก็สามารถเชื่อมต่อไปยัง ผลิตภัณฑ์กองทุน หรือ โทเคนดิจิทัล รวมถึงธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ ผ่าน บล.กรุงไทย เอกซ์สปริง
นอกจากนี้ ยังมีการบริหารโครงการ Co-Lending Program เพื่อเป็นทางเลือก
ในการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อ โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้ากลุ่ม Ultra Wealth ที่มีศักยภาพด้านเงินทุนเข้ามามีส่วนร่วมในการให้สินเชื่อ ร่วมกับภาคธุรกิจที่ต้องการแหล่งเงินทุน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
มั่นใจปี 68 รายได้ทะลุเป้า 1,100 ล้าน
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าปี 2568 รายได้จะโตตามเป้าหมายที่ 1,100 ล้านบาท สะท้อนจากผลงาน ในครึ่งปีแรก เสริมด้วยรายได้จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ ในไตรมาส 4/2568 ซึ่งจะมีการเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน “SiriHub2” โดยมีอาคารสำนักงาน Siri Campus มูลค่าประเมินกว่า 2,500 ล้านบาท เป็นทรัพย์สินอ้างอิง และมีบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (เครดิตเรตติ้ง BBB+) เป็นผู้เช่าหลักเพียงรายเดียว ให้ผลตอบแทนคงที่ 6% ต่อปี ตลอดอายุโครงการ 3 ปี พร้อมสิทธิได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนดโครงการ เปิดให้ผู้ลงทุนจองซื้อครั้งแรก (ICO) ในราคาโทเคนละ 10 บาท ขั้นต่ำ 1,000 บาท
และเตรียมเปิดตัวกองทุนใหม่ อย่างกองทุนเปิดเอ็กซ์สปริงควอนตัมคอมพิวเตอร์ X-QUANTUM ลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่ลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่มีรายได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งมาจากธุรกิจเกี่ยวกับ ‘เทคโนโลยีควอนตัม’ ซึ่งอยู่ระหว่างการเปิดขายครั้งแรก (IPO) ช่วงวันที่ 27 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2568 และเริ่มซื้อ–ขายได้ทุกวันทำการตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2025 เป็นต้นไป ลงทุนเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท ผ่าน XSpring Mobile Application
ปรับพอร์ตเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม เร่งการเติบโต
ทั้งนี้ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากดอกเบี้ย 60% รายได้ค่าธรรมเนียม 30% จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (XSpring AM) และบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด (XSpring Digital) และ10% มาจากส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด(KTX) ซึ่งทางบริษัทถึงหุ้นอยู่ครึ่งนึง
ในอนาคต บริษัทมีเป้าหมายปรับโครงสร้างรายได้ ด้วยการลดสัดส่วน รายได้ดอกเบี้ย และเพิ่มการเติบโตรายได้ค่าธรรมเนียมของบริษัทลูก โดยผลตอบตอบรับจากลูกค้า เติบโตขึ้นอย่างชัดเจน หลังทยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ การเงินใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ การลงทุนลูกค้าที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ (HNWI) ซึ่งต้องการทางเลือก การลงทุนใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูง
แม้รายได้ค่าธรรมเนียม จะต้องพึ่งพาภาวะตลาด แต่บริษัทจะกระจายสัดส่วนรายได้ ไม่พึ่งพาค่าคอมมิชชันในการซื้อขายหุ้นอย่างเดียว แต่จะเน้นรายได้จาก Structured prodcut
แบงก์ชาติ-ปปง.ออกเกณฑ์เข้ม สกัดฟอกเงินสินทรัพย์ดิจิทัล
สำหรับความคืบหน้า การส่งมอบมาตรการสกัดเงินทุนผิดกฎหมายและกลุ่มทุนสีเทา จากคณะทำงาน Connect the Dot ของรัฐบาล วรางคณา อัครสถาพร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า คณะทำงาน Connect the dots ยังไม่ได้มีการเรียกบริษัทเข้าไปพูดคุยเพิ่มเติม คาดว่าจะส่งผ่านมาตรการ ผ่านตัวกลาง คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้วเรียกประชุมพร้อมกันผ่านสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลอีกที
อย่างไรก็ตาม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) มีการประชุมอัปเดตกฎเกณฑ์ควบคุมการให้บริการทางการเงิน และรับฟัง Feedback กับผู้ให้บริการการเงินทุกไตรมาส
สำหรับบริการสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทมีการยกระดับเกณฑ์การตรวจจับบัญชีม้า ตามแนวทางของแบงก์ชาติ และปปง. ดังนี้
1.ระบบ KYC ตรวจสอบประวัติการเงินย้อนหลัง
2.ตรวจสอบรายได้ของลูกค้า ว่าสัมพันธ์กับมูลค่าพอร์ตการลงทุนไหม ถ้าบัญชีที่เข้าข่ายผิดปกติ เมื่อลูกค้าจะโอนเงิน จะต้องมีการขอเอกสาร เพื่อยืนยันที่มาของเงินเพิ่มเติม
3.ลูกค้าเปิดบัญชีใหม่ห้ามโอนเงินออกภายใน 24 ชั่วโมง จำกัดวงเงินโอนไม่เกินวันละ 20,000 บาท ถ้าเป็นลูก HNWI ต้องยื่นเอกสารเพิ่ม ถึงจะเพิ่มวงเงินได้
ซึ่งทำให้ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้น ทั้งนี้บริษัทอยากให้หน่วยงานกำกับ มีแพลตฟอร์มข้อมูลกลาง เพื่อแจ้งเตือนและแบ่งปันข้อมูลบัญชีม้าแบบเรียลไทม์ เพื่อลดภาระต้นทุนการตรวจสอบที่ผู้ให้บริการทางการเงินต้องแบกรับ
