×

World Cup Memo Day 30: ลิโอเนล เมสซี ราชาลูกหนังโลกที่แท้จริง

19.12.2022
  • LOADING...
Lionel Messi

1.

 

เวลาใกล้หมดแล้วสำหรับเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014 ที่ชามอ่างยักษ์มาราคานา

 

สถานการณ์ของอาร์เจนตินากำลังตกที่นั่งลำบาก ประตูของ มาริโอ เกิตเซ ในนาทีที่ 113 ทำให้เยอรมนีชิงความได้เปรียบขึ้นนำไปก่อน แต่พวกเขาเสียฟาวล์ในระยะราว 30 หลาจากเส้นประตู

 

ลิโอเนล เมสซี ยืนประจำการอยู่ที่ลูกบอล เขารู้ว่าแม้มันจะเป็นระยะที่ไกล แต่ก็ไม่ได้ไกลเกินไปกว่าที่เคยยิงได้ ในสีเสื้อบาร์เซโลนาเขายิงฟรีคิกในลักษณะนี้มาแล้วนักต่อนัก ถ้ายิงเข้าความหวังของเขาและชาวอาร์เจนตินาจะกลับมาอีกครั้ง

 

แต่ถ้ายิงไม่เข้าล่ะ?

 

สีหน้าและแววตามันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า ตอนนี้เมสซีกำลังแบกโลกทั้งใบไว้บนสองบ่าเล็กๆ ของเขา

 

นับจากวันที่ชาวเมืองโรซาริโอค้นพบว่า มีเด็กน้อยร่างเล็กที่มีฝีเท้ามหัศจรรย์ที่ชวนให้คิดถึง ดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา เทพเจ้าลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่ ทุกคนก็คาดหวังว่าเด็กคนนี้จะกลายเป็นมาราโดนาคนใหม่ คนที่จะนำแชมป์ฟุตบอลโลกกลับมาสู่มาตุภูมิอีกครั้ง

 

ทุกวันเมสซีเผชิญกับการเปรียบเทียบกับมาราโดนา เพราะต่อให้ประสบความสำเร็จมากมายแค่ไหนในระดับสโมสรกับบาร์เซโลนา และต่อให้จะคว้าบัลลงดอร์มาครอบครองได้อีกสักกี่ใบก็ตาม โทรฟีเดียวที่จะทำให้เขาเทียบเท่ากับเอล ดิเอโก ได้คือถ้วยฟุตบอลโลกสีทองเท่านั้น

 

ในวัย 27 ปี เมสซีรู้ตัวว่าเขากำลังไต่เข้าสู่ช่วงพีคของการเล่น และฟุตบอลโลกที่บราซิลคือโอกาสดีที่สุดแล้ว ซึ่งเขาเองก็ทำผลงานได้พอใช้ อย่างน้อยก็มีส่วนในการช่วยพาทีมเข้ามาจนถึงรอบชิงชนะเลิศและสู้กับเยอรมนีได้ดี

 

เพียงแต่ อังเคล ดิ มาเรีย คู่หูแข้งทองที่ช่วยกันมาตลอดมีอาการบาดเจ็บรบกวนตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายกับเบลเยียม และ อเลฮานโดร ซาเบยา ตัดสินใจที่จะไม่ฝืนส่งลงสนามในเกมนัดชิงกับเยอรมนี นั่นทำให้เมสซีเหมือนขาดอะไรบางอย่างที่สำคัญไป

 

อย่างน้อยหากมีดิ มาเรีย อยู่ในสนามด้วยวันนั้น เมสซีอาจไม่รู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเหมือนในช่วงเวลานี้

 

เสียงนกหวีดจากผู้ตัดสินชาวอิตาลี นิโคลัส ริสโซลี ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้เล่น

 

เมสซีวิ่งเข้ามาหวดบอลด้วยเท้าข้างซ้ายที่เคยสั่งได้ทุกอย่าง

 

แต่ไม่ใช่สำหรับครั้งนี้ ลูกยิงนั้นเหินข้ามคานออกไปไกลแบบไม่ได้ลุ้น เมสซีก้มหน้ายอมรับชะตากรรม แชมป์ฟุตบอลโลกที่เป็นความฝันอันสูงสุดนั้นได้หลุดลอยไปแล้ว

 


 

2.

 

“เราไม่ได้คิดว่ามันจะเริ่มแบบนี้”

 

น้ำเสียงของเมสซีบ่งบอกถึงความผิดหวังหลังจากที่อาร์เจนตินาเริ่มต้นฟุตบอลโลก 2022 ด้วยความพ่ายแพ้แบบช็อกโลกต่อซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเกมนี้เขาเป็นคนยิงลูกจุดโทษให้ทีมขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่ต้นเกม และทีมเบียงคิเชเลสเตมีโอกาสอีกหลายต่อหลายครั้งที่จะทำประตูเพิ่มได้ แต่หากไม่พลาดก็ติดกับดักของทีมสิงห์ทะเลทรายไปหมด

 

สุดท้ายซาอุดีอาระเบียไล่ยิง 2 ประตูในช่วงท้ายเกม ทำให้อาร์เจนตินาซึ่งมาฟุตบอลโลกครั้งนี้ทั้งในฐานะของแชมป์โกปา อเมริกา และแชมป์ฟินาลิสซิมา รายการพิเศษในการวัดกันระหว่างแชมป์ยุโรปกับลาติน และยังไม่แพ้ใครมา 36 นัด ต้องเสียทั้งหน้าและสถิติ

 

มันชวนให้คิดว่า บางทีเมสซีคงไม่มีวาสนาที่จะได้เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกจริงๆ เพราะในวัย 35 ปี แม้จะดูฟิตและแข็งแรงอยู่ แต่คนที่ติดตามมาตลอดจะรู้ดีว่าเขาโรยราลงอย่างมากในเรื่องของกำลังวังชา เจ้าตัวเองก็รู้ตัวดี จึงประกาศตั้งแต่แรกว่านี่จะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของเขา

 

แต่ในความเจ็บปวดของความพ่ายแพ้ที่น่าอับอาย เมสซีในฐานะกัปตันทีมได้ขออะไรอย่างหนึ่งจากชาวอาร์เจนไตน์

 

“เราเจ็บปวดกับผลการแข่งขันอยู่แล้ว แต่ผมขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าทีมชุดนี้จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่าที่เคยเป็นมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเราแกร่งแค่ไหน”

 

ณ ตอนนั้นแทบไม่มีใครเชื่อหรือใส่ใจกับคำพูดของเขามากนัก

 

คนที่เชื่อว่าเมสซีจะพาอาร์เจนตินาเป็นแชมป์โลกได้ในเวลานั้นไม่รู้จะเหลือสักกี่คน

 


 

3.

 

ในความทรงจำของผู้คนที่ทันเห็นความมหัศจรรย์ของ ดิเอโก มาราโดนา ในฟุตบอลโลก 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก จะพูดเป็นเสียงเดียวกัน

 

มาราโดนาพาอาร์เจนตินาคว้าแชมป์โลกได้ด้วยตัวคนเดียว และเหล่าผู้คนที่ได้เห็นเรื่องราวครั้งนั้นก็ยืนยันในถ้อยคำของตัวเอง

 

ใครจะกล้าลืมผู้ที่ทำ ‘หัตถ์พระเจ้า’ และประตูแห่งศตวรรษในเกมเดียวกันรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติอังกฤษได้ลงคอ? และในนัดชิงชนะเลิศแม้จะไม่มีชื่อเป็นผู้ทำประตู แต่เขาคือคนที่จ่ายบอลให้ ฮอร์เก บูร์ราชากา หลุดทะลุเข้าไปทำประตูให้อาร์เจนตินานำเยอรมนีตะวันตกอีกครั้ง

 

ภาพของนักเตะหมายเลข 10 หุ่นมะขามข้อเดียว แต่ลงเล่นด้วยความอาจหาญ สง่างาม ไม่เกรงไม่กลัวคู่ต่อสู้คนไหนทั้งนั้น ความร้อนแรงที่แผ่พุ่งออกมานั้นสัมผัสถึงใจของคนทั่วโลกที่ได้เฝ้าดู และเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฟุตบอลกลายเป็นสุดยอดกีฬาที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

 

ตำนานของเสื้อ ‘หมายเลข 10’ ก็มาจากชายคนนี้นั่นเอง

 

หลังจากฟุตบอลโลกในครั้งนั้น ชาวอาร์เจนตินาได้พยายามค้นหา ‘มาราโดนาคนใหม่’ ซึ่งมีนักเตะที่ได้รับสมญานามนี้มากมายหลายคน เช่น อาเรียล ออร์เตกา, คาร์ลอส เตเวซ, ปาโบล ไอมาร์ รวมถึงนักเตะซ้ายธรรมชาติที่ชวนให้คิดว่าใกล้เคียงที่สุดอย่าง อันเดรส ดาเลสซานโดร

 

แต่ไม่มีใครสักคนที่จะทำได้อย่างมาราโดนา

 

จนกระทั่งโลกค้นพบ ลิโอเนล เมสซี เด็กหนุ่มจากโรซาริโอ เมืองของคนบ้าบอลที่มีเท้าซ้ายที่มหัศจรรย์เหมือนมาราโดนา จะแตกต่างไปก็ตรงอุปนิสัยที่ดูเป็นคนขี้อาย เงียบขรึม พูดน้อย จนบางครั้งเพื่อนร่วมทีมเองเคยคิดว่าเป็นใบ้ด้วยซ้ำไป

 

กระนั้นเมสซีก็ไม่ได้เหมือนมาราโดนาทุกกระเบียดนิ้ว มีความแตกต่างระหว่างทั้งสองอยู่ในท่วงท่าและลีลาการเล่น เมสซีไม่ใช่นักเตะในแบบ ‘หมายเลข 10’ แต่เป็นผู้เล่นไฮบริดที่อยู่ระหว่างตัวริมเส้น ตัวทำเกม และกองหน้า ในคนเดียวกันมากกว่า

 

ในขณะที่มาราโดนาชื่นชอบการแหวกผ่านคู่แข่งเหมือนเล่นสกีสลาลม สิ่งที่เมสซีชำนาญที่สุดคือการเปลี่ยนทิศทางในการเลี้ยงบอล ทำให้คู่แข่งจับทางเขาได้ยาก ในวันและวัยที่กำลังขายังร้อนแรง มีช่วงเวลายาวนานที่เมสซีแทบไม่เคยโดนแย่งบอลจากเท้าเลยด้วยซ้ำ

 

แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มีเหตุการณ์ที่ชวนให้ตั้งคำถามถึงสิ่งที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ

 

ประตูในเกมกับเคตาเฟของเมสซีที่แทบเป็นการซ้ำรอยเดิมกับประตูแห่งศตวรรษของมาราโดนา

 

หัตถ์พระเจ้าเขาก็เคยทำในเกมกับเอสปันญอล

 

บางอย่างมันเหมือนถูกใครบางคนกำหนดเอาไว้มาตั้งแต่ต้นแล้ว

 


 

4.

 

“หมอไม่รู้นะว่าหนูจะเก่งกว่ามาราโดนาได้ไหม” คุณหมอบอกกับเจ้าหนูวัย 11 ขวบที่ดูโตช้ากว่าเด็กทั่วไปถึง 2 ปี ได้รับสมญาว่า ‘เอล เอนาโน’ หรือคนแคระ

 

“แต่หนูจะสูงกว่าเขาแน่”

 

คุณหมอคนดังกล่าวคือ คุณหมอดิเอโก ชวาร์ซสไตน์ ผู้ที่ให้คำแนะนำที่เปลี่ยนชีวิตของเด็กคนหนึ่งไปตลอดกาล ซึ่งแม้ว่าค่ารักษาด้วยการใช้ฮอร์โมนกระตุ้นจะสนนราคาที่แพงแค่ไหนสำหรับครอบครัวธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ร่ำรวยอย่างครอบครัวเมสซี แต่ฮอร์เก ผู้เป็นพ่อ ก็ยินดีจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ลูกได้มี ‘โอกาส’ ในชีวิต

 

เมสซีเคยเล่าในบทสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า การฉีดฮอร์โมนกระตุ้นนั้นต้องทำทุกวันต่อเนื่องกัน ในช่วงแรกนั้นเขาให้ผู้ใหญ่ในบ้านช่วยฉีดให้ แต่เมื่อโตขึ้นมาก็เรียนรู้และกล้าพอที่จะฉีดสิ่งเหล่านี้เข้าร่างกายของตัวเอง

 

โชคดีที่สิ่งที่คุณหมอชวาร์ซสไตน์บอกเป็นความจริง ร่างกายของเขาค่อยๆ สูงขึ้น และในที่สุดก็สูงกว่ามาราโดนาที่มีส่วนสูง 5 ฟุต 5 นิ้วได้

 

เรื่องนี้คือหนึ่งในอุปสรรคแรกๆ ของการเดินทางในชีวิตที่เหลือเชื่อของเมสซี ซึ่งยังมีอีกหลายครั้งที่เขาต้องผ่านและพานพบอะไรมากมายที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ เช่น การเดินทางมากกว่า 6,000 ไมล์ เพื่อไปทดสอบฝีเท้ากับบาร์เซโลนา สโมสรเดียวที่เป็นความหวังของครอบครัวเมสซี ที่จะช่วยออกทุนในการรักษาลูกชายคนที่ 4 ของบ้าน แต่ปรากฏว่าไปถึงแล้วคนที่มีอำนาจการตัดสินใจอย่าง ชาร์ลี เรซัค ไม่อยู่ เพราะเดินทางไปชมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนอยู่ที่กรุงซิดนีย์

 

แต่เมสซีไม่ยอมแพ้ โชคดีที่ชื่อเสียงของเขาก็ดังมาไกลถึงลามาเซีย ทำให้โค้ชที่นั่นขอ ‘ลองของ’ กับเด็กตัวจิ๋วเดียวจากอาร์เจนตินา ก่อนจะพบความจริงในทันทีว่า พวกเขาเล่นผิดคน! และต่อให้เป็นนักเตะดาวเด่นของบ้านกระท่อมน้อยแห่งบาร์ซาอย่าง เชส ฟาเบรกัส สายเลือด Culer แท้ ก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่มีวันเทียบกับเด็กคนนี้ได้เลย

 

การเกลียดความพ่ายแพ้คือแรงผลักดันสำคัญของเมสซีที่เงียบขรึม และทำให้เขาเดินทางมาได้ไกลถึงสุดขอบฟ้าของกาตาร์

 

จากความพ่ายแพ้ต่อซาอุดีอาระเบีย เขาและอาร์เจนตินาต้องต่อสู้อย่างหนักในเกมที่สองกับเม็กซิโก ซึ่งหากพลาดท่าเสียทีขึ้นมา นั่นหมายถึงความฝันชั่วชีวิตของตัวเมสซีเอง และความหวังของชาวอาร์เจนไตน์ที่มีฟุตบอลเป็นเครื่องเยียวยาจิตใจจากชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก จะจบลงทันที

 

แต่แล้วในช่วงเวลาที่แสงกำลังจะดับลง เมสซีก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอีกครั้งด้วยการยิงไกลจากระยะร่วม 30 หลา เสียบมุมเข้าไปแบบไม่มีใครคาดคิด

 

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครหยุดเขาและอาร์เจนตินาได้อีก แม้ว่าจะผ่านเข้ารอบมาได้แบบกระท่อนกระแท่นและเจียนอยู่เจียนไปแค่ไหนก็ตามในเกมกับโปแลนด์, ออสเตรเลีย, เนเธอร์แลนด์ และโครเอเชีย แต่เมสซีก็มาถึงเกมที่เขารอคอยจนได้

 

เกมที่ ปีเตอร์ ดรูรี นักพากย์ฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลก ผู้บรรยายเกมเหมือนอ่านบทกวี บอกเอาไว้ว่า “เมสซีจะได้ลงสนามในเกมที่เป็นที่สุดของเขา”

 


 

5.

 

อังเคล ดิ มาเรีย หลั่งน้ำตาอย่างไม่อายใครหลังจากที่เติมขึ้นมาทำประตูที่ 2 ให้อาร์เจนตินาขึ้นนำฝรั่งเศสเป็น 2-0

 

ความจริงแทบไม่มีใครคิดว่าเขาจะได้โอกาสออกสตาร์ทเป็นตัวจริงด้วยซ้ำ เพราะหลังจากรอบแรกแล้ว ดิ มาเรีย ดูมีปัญหาในเรื่องของสภาพร่างกาย และทำให้ ลิโอเนล สกาโลนี ดรอปเขาออกจากทีม โอกาสได้ลงสนามนั้นเหลือแค่การลงมาในช่วงท้ายเกม

 

แต่ในนัดชิงชนะเลิศ สกาโลนีตัดสินใจส่งเขาลงสนามพร้อมปรับแท็กติกให้อาร์เจนตินาสู้กับฝรั่งเศสด้วยระบบการเล่นแบบ 4-3-3 ดิ มาเรีย ถูกส่งประจำการในตำแหน่งปีกซ้าย ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่เขาจะเล่นทางฝั่งขวา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอยู่บ้าง แต่มันเป็นการตัดสินใจที่ถูก

 

เพราะความจัดจ้านที่เหลืออยู่ของปีกวัย 34 ปี สามารถเรียกจุดโทษให้กับทีมได้ เมื่อลากเลื้อยผ่าน อุสมาน เดมเบเล เข้าในกรอบเขตโทษและโดนสะกิดขาหลังล้มลง เปิดโอกาสให้เมสซีได้ทำประตูขึ้นนำให้อาร์เจนตินา

 

ก่อนที่เมสซีจะมีส่วนร่วมกับประตูที่ 2 ในฐานะคนสะกิดบอลต่อให้เพื่อนเป็นการเซ็ตจังหวะสวนกลับขึ้นมา ซึ่งจบลงด้วยการสอดขึ้นมายิงที่เสาไกลของดิ มาเรีย

 

หลังทำประตูนี้ได้ น้ำใสๆ ก็ไหลจากตาของดิ มาเรีย ทันที เพราะนี่คือสิ่งที่เขาเฝ้ารอคอยมายาวนานเหลือเกิน

 

ในฟุตบอลโลก 2014 หลังบาดเจ็บในเกมกับเบลเยียม เขาพยายามทุกวิถีทางแล้วที่จะกลับมาลงเล่นให้ได้อีกครั้งในเกมรอบชิงชนะเลิศ โดยไม่แคร์ด้วยว่าหากฝืนลงสนามไปอาจทำให้ชีวิตการเป็นนักฟุตบอลของเขาต้องพังทลายลง

 

เขาไม่แคร์แม้แต่จดหมายทักท้วงจากเรอัล มาดริด สโมสรต้นสังกัดที่ขอให้อย่าฝืนลงสนาม เพราะรู้ว่าทีมพยายามจะขายเขาออกไปหลังจบฟุตบอลโลก ซึ่งการบาดเจ็บอาจหมายถึงโอกาสที่ดับลงสำหรับเรอัล มาดริด

 

แต่สุดท้าย อเลฮานโดร ซาเบยา นายใหญ่ตัดสินใจที่จะไม่ส่งเขาลงเล่นในเกมกับเยอรมนีที่มาราคานาและดิ มาเรีย ก็ไม่มีโอกาสลงสนามเลยแม้แต่นาทีเดียว เขาทำได้แค่เพียงเฝ้ามองอาร์เจนตินาตกเป็นฝ่ายตามหลัง และเห็นเมสซีพยายามอยู่คนเดียวที่จะพาทีมกลับมาให้ได้จากม้านั่งข้างสนาม

 

วันนี้ดิ มาเรีย ได้โอกาสที่จะแก้ไขทุกอย่างและเขาทำได้สำเร็จ

 

และที่สำคัญหากดิ มาเรีย อยู่ในสนามคู่กับเมสซีแล้ว พวกเขามักจะประสบความสำเร็จเสมอ จนมีการเปรียบเปรยกันว่า ปีกร่างผอมบางคนนี้คือนักเตะคู่บุญของเมสซีเลยทีเดียว

 


 

6.

 

หากจะมีใครสักคนที่กล้าหาญพอจะท้าชนกับเมสซีแบบจังๆ ในตอนนี้ ก็อาจเหลือ คีเลียน เอ็มบัปเป แค่คนเดียวเท่านั้น

 

เด็กหนุ่มจากบงดี เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ที่มีโปสเตอร์ของ คริสเตียโน​ โรนัลโด แปะอยู่เต็มฝาห้อง ถูกทำให้เงียบหายไปเป็นระยะเวลาเกือบ 80 นาที ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่เขาคนเดียวที่หาย แต่ทีม ‘เลส์ เบลอส์’ ทั้งทีมดูจะเล่นผิดฟอร์มไปหมดตั้งแต่นาทีแรกแล้ว

 

แม้กระทั่งโค้ชอย่าง ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ผู้สุขุม ก็ดูลนลานถึงขั้นสั่งแก้เกมตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก ด้วยการถอด โอลิวิเยร์ ชิรูด์ และ อุสมาน เดมเบเล สองกองหน้าออกมา เพื่อส่งสองกองหน้าดาวรุ่งอย่าง แร็งแดล โกโล มูอานี และ มาร์คัส ตูราม บุตรแห่งลิลิยอง ตูราม อดีตฮีโร่ในปี 1998 ลงสนามแทน

 

ชิรูด์ ผู้ที่ทำดีมาทั้งทัวร์นาเมนต์ ถึงกับบันดาลโทสะด้วยการปาขวดน้ำอยู่ข้างสนาม โดยที่ตัวสำรองที่ลงไปนั้นก็ดูไม่สามารถช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมาเหมือนกัน

 

เพียงแต่ในช่วงโค้งสุดท้ายของเกม เมื่อกำลังวังชาของอาร์เจนตินาเริ่มถดถอย การอ่านเกมที่ผิดพลาดของ นิโกลัส โอตาเมนดี นำไปสู่การทำฟาวล์และเสียจุดโทษบ้าง และนั่นคือช่วงเวลาที่เอ็มบัปเปรอคอย เขายิงผ่านมือของ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ เข้าไปอย่างสวยงาม

 

ก่อนที่เอ็มบัปเปจะแสดงให้เห็นถึงความเป็น Force of Nature ด้วยการทำประตูตีเสมอให้ฝรั่งเศสได้ในอีกหนึ่งนาทีถัดมา ซึ่งจังหวะนี้มันเริ่มมาจากการที่เมสซีพลาดโดน คิงส์ลีย์ โกม็อง ตัวสำรองอีกคน เบียดแซะแย่งบอลได้ ก่อนที่บอลจะต่อกันมาถึงเอ็มบัปเปที่โชว์เทคนิคการจบสกอร์ในระดับเทพจุติ กวาดตัวยิงเข้าเสาไกลอย่างสุดมหัศจรรย์


เมสซีแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น อีกแค่ 10 นาทีเศษเขาจะได้เป็นแชมป์โลกอยู่แล้ว ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับไปเข้าทางฝรั่งเศสทั้งหมด

 

เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อมันใช่ไหม?

 

แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ก้มหน้าคอตกเหมือนเก่า เมสซีค่อยๆ พยายามรวบรวมเกมของตัวเองกลับมา เช่นเดียวกับอาร์เจนตินาที่ตั้งสติและพยายามต้านทานฝรั่งเศสไว้ได้จนจบการแข่งขันเวลาปกติ และกลับมาตั้งหลักใหม่ได้อีกทีในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ

 

แล้วในนาทีที่ 109 เราเหมือนได้เห็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ เมื่อเมสซีทำประตูให้อาร์เจนตินาขึ้นนำอีกครั้งเป็น 3-2 จากการเข้าซ้ำลูกยิงของ เลาตาโร มาร์ติเนซ

 

ประตูนี้มันควรจะเป็นประตูที่นำอาร์เจนตินาและเมสซีสู่แชมป์แล้วใช่ไหม?

 

มันไม่จบง่ายๆ หรอก เมื่อก่อนหมดเวลาแค่ 2 นาที ฝรั่งเศสมาได้ลูกจุดโทษจากจังหวะที่ กอนซาโล มอนติเอล แบ็กขวาตัวสำรองที่ถูกส่งลงมาในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ ทำแฮนด์บอลโดยไม่ตั้งใจจากจังหวะพยายามบล็อกลูกยิงไกล

 

เอ็มบัปเปได้ยิงจุดโทษเป็นครั้งที่ 2 และเขาไม่พลาด กลายเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ปี 1966 ที่ทำแฮตทริกได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก ซึ่งก่อนหน้านี้มีแค่คนเดียวคือ เจฟฟ์ เฮิร์สต์

 

มันชวนให้คิดว่า บางทีนี่อาจเป็นการประกาศยุคสมัยใหม่ของเกมลูกหนัง ที่มีราชาชื่อว่า คีเลียน เอ็มบัปเป หรือเปล่า?

 


 

7.

 

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างอาร์เจนตินาชุดปี 1986 กับชุดปี 2022 คือการที่เมสซีไม่สามารถแบกทีมได้คนเดียวเหมือนมาราโดนา

 

ถึงชั้นเชิงฝีเท้าของเขาจะถึงขั้น หัวจิตหัวใจผ่านการทุบตีมาอย่างหนัก กระทั่งประกาศอำลาทีมชาติหลังพ่ายแพ้ในเกมนัดชิงชนะเลิศโกปา อเมริกา ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่สุดท้ายกลับมาอีกครั้งและปลดล็อกพาทีมคว้าแชมป์ทวีปได้สำเร็จ ซึ่งเป็นแชมป์ทีมชาติรายการแรกได้ แต่ร่างกายของเขาไม่ไหวแล้ว


ทุกนัดในฟุตบอลโลก 2022 เมสซีจะสงวนแรงของตัวเองเอาไว้เพื่อ ‘ช่วงเวลาต้องมนตร์’ เท่านั้น

 

ที่เหลือคือการที่นักเตะเพื่อนร่วมทีม ซึ่งเติบโตมาโดยมีเขาเป็นแรงบันดาลใจ พร้อมที่จะสู้ทุกอย่างเพื่อเมสซีเป็นการตอบแทน

 

วันนี้เมสซีไม่ได้มีแค่ดิ มาเรีย แต่เขายังมี โรดริโก เด ปอล, ฮูเลียน อัลวาเรซ, อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ และ เอนโซ เฟร์นานเดซ

 

และ เอมี มาร์ติเนซ ผู้เป็นเหมือน ‘ตัวนำโชค’ ส่วนตัวของเมสซี

 

ในเวลาที่เมสซีได้ทำทุกอย่างเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ในฐานะผู้นำของทีม เพื่อพาอาร์เจนตินามาให้ไกลที่สุด ทุกคนที่เหลือก็พยายามในส่วนของตัวเอง เพื่อแบ่งเบาเมสซีด้วยเช่นเดียวกัน

 

ไม่ต่างจากทหารเสือ คนเหล่านี้สู้เพื่อกันและกัน All-for-One, One-for-All

 

ในเกมนัดชิงชนะเลิศที่ดุเดือดที่สุดตลอดกาลระหว่างอาร์เจนตินาและฝรั่งเศสที่ต้องตัดสินด้วยฎีกานั้น เมสซีทำเต็มที่ในส่วนของเขาแล้วด้วยการยิงผ่าน อูโก โยริส เข้าไปเป็นมือสังหารคนแรก และช่วยให้ทีมไม่ต้องเผชิญภาวะกดดัน หลังก่อนหน้านี้เอ็มบัปเปก็แสดงให้เห็นถึงจิตใจอันเข้มแข็งด้วยการยิงเข้าไปก่อน

 

ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ เอมี มาร์ติเนซ ที่เซฟลูกยิงของ คิงสลีย์ โกม็อง ได้ในลูกที่ 2 ก่อนที่ โอเรเลียง ชูอาเมนี จะยิงพลาดในลูกที่ 3

 

ขณะที่ เปาโล ดีบาลา และ เลอันโดร ปาเรเดส ก็ยิงไม่พลาด และคนสุดท้ายที่ได้โอกาสในการแก้ไขทุกอย่างคือมอนติเอล ผู้ทำเสียจุดโทษก่อนหมดเวลาแค่ 2 นาที

 

มอนทีลแก้ตัวได้สำเร็จ

 

อาร์เจนตินาได้เป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 แชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 3 แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกในรอบ 36 ปี

 

และแชมป์ฟุตบอลโลกสำหรับเมสซี

 

ย้อนกลับไปหลังจบเกมรอบรองชนะเลิศ เมสซีกำลังจะให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวสาวท่านหนึ่ง แต่ผู้สื่อข่าวได้ขอใช้โอกาสนี้ในการเป็นตัวแทนชาวอาร์เจนตินาเพื่อบอกกับเมสซี


ไม่ว่าผลการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศจะออกมาเป็นอย่างไร เมสซีได้อยู่ในใจของผู้คนแล้ว เด็กๆ ทุกคนมีเสื้อหมายเลข 10 ของเขา ไม่ว่ามันจะเป็นของแท้หรือของเทียมก็ตาม

 

เมสซีไม่ได้กลายเป็นมาราโดนา แต่เมสซีก็คือเมสซี

 

หลังจบพิธีการมอบรางวัล เมสซีซึ่งถอดชุดคลุมสำหรับผู้สูงศักดิ์ที่ เชคตะบีม บิน ฮะมัด มอบให้ในระหว่างมอบถ้วยฟุตบอลโลก ได้ถูก เซร์คิโอ อเกวโร เพื่อนรักที่อยู่ร่วมกับทีมในฐานะขวัญและกำลังใจ จับขึ้นบ่าก่อนแห่ฉลองให้ในสนามลูซาอิลในแบบเดียวกับที่มาราโดนาถูกแห่ฉลองในสนามอัซเตกา

 

มันเหมือนภาพซ้อนในความทรงจำที่เลือนรางแต่แจ่มชัดในเวลาเดียวกัน และชวนให้คิดว่าเรื่องบางเรื่องอาจมีใครสักคนที่ขีดเขียนเอาไว้มาตั้งแต่ต้นแล้ว

 

ลิโอเนล เมสซี คือราชาลูกหนังโลกคนใหม่อย่างเป็นทางการ และตลอดไป

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising