ท่ามกลางเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกหนนี้ หนึ่งในเรื่องที่ผมเก็บไว้ในใจมานานหลายวันและคิดว่าถึงเวลาอันเหมาะสมที่ไม่มีฟุตบอลลงแข่ง หยิบมาบันทึกเก็บไว้คือเรื่องราวของ อองตวน กรีซมันน์ นักฟุตบอลที่ทำให้เราทุกคนได้รู้ว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครหรอกที่ไม่สำคัญ
ในความสำเร็จของทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งกลายเป็นทีมแรกในรอบ 20 ปีที่สามารถผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกได้ 2 สมัยติดต่อกัน (ก่อนหน้านั้นคือบราซิลที่ได้เข้าชิง 3 สมัยในปี 1994,1998 และ 2002) และมีโอกาสจะเป็นทีมแรกในรอบ 60 ปี ต่อจากบราซิลในยุคของเปเล ที่ป้องกันแชมป์ได้ สิ่งที่เป็นต้นกำเนิดนั้นมาจากขุมกำลังของทีมที่ยอดเยี่ยมเกินหน้าเกินตาทีมอื่นอย่างมาก
‘เลส์ เบลอส์’ เต็มไปด้วยนักเตะระดับชั้นสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นประสบการณ์สูงอย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์, อูโก โญริส, ราฟาแอล วาราน รวมถึงกลุ่ม Next Gen ที่เต็มทีมไปหมดไม่ว่าจะเป็น อิบราฮิมา โกนาเต, โอเรลีแย็ง ชูอาเมนี, อุสมาน เดมเบเล และพระเอกของทีมอย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป
ยิ่งฟอร์มของเอ็มบัปเปกับชิรูด์ร้อนแรงเหลือประมาณในฟุตบอลโลกหนนี้ ก็ยิ่งทำให้แสงไฟจับจ้องที่ทั้งสองมากเป็นพิเศษ
แต่คนที่เริ่มถูกจับตามองมาหลายนัด และตอนนี้ชัดเจนว่าเป็นคนสำคัญไม่ได้น้อยไปกว่ากัน หรือในความหมายตรงกันข้ามคืออาจจะเป็นผู้เล่นคนที่สำคัญที่สุดสำหรับทีมชาติฝรั่งเศสในชุดนี้คือ กรีซมันน์ กองหน้าผู้ที่ยังทำไม่ได้แม้แต่ประตูเดียวในรายการนี้
เรื่องนี้ฟังดูย้อนแย้งกันอยู่บ้าง เพราะปกติเป็นกองหน้าแต่ทำประตูไม่ได้ แล้วมันจะสำคัญต่อทีมอย่างไร
คำตอบคือสำคัญได้ เพราะกรีซมันน์ทำ ‘หน้าที่’ ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกเกมที่ได้โอกาสในการลงสนาม
ความจริงแล้วก่อนที่ทัวร์นาเมนต์จะเริ่ม กองหน้าวัย 31 ปีแทบไม่ได้อยู่ในโฟกัสของทีม เพราะแสงไฟนั้นสาดส่องไปที่เอ็มบัปเปแทบจะคนเดียว หลัง คาริม เบนเซมา ต้องถอนตัวออกจากทีมไปอย่างโชคร้าย (และไม่น่าจะกลับมาเพื่อลงเล่นนัดชิงชนะเลิศตามกระแสข่าวลือ) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลงานของเขาในฤดูกาลนี้ไม่ถึงกับดีมากนัก
หากยังจำกันได้ ในช่วงเดือนแรกๆ ของฤดูกาลใหม่ กรีซมันน์ยังถูกจำกัดโอกาสและเวลาในการลงสนามด้วย เพราะเป็นการเล่นเกมระหว่างแอตเลติโก มาดริด สโมสรเก่าที่กลับมาเป็นสโมสรปัจจุบัน กับบาร์เซโลนา สโมสรเก่าที่เป็นอดีตไปแล้ว ที่มีเงื่อนไขประหลาดๆ เกี่ยวกับเรื่องเวลาในการลงเล่นของกองหน้าชาวฝรั่งเศส
ลองจินตนาการว่าหากเป็นเราที่ต้องทำงานบนเงื่อนไขประหลาดๆ แบบนี้ ชีวิตคงยากจะหาความสุขได้
สำหรับกรีซมันน์ กองหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวท็อปของยุโรป โดยเฉพาะในช่วงยูโร 2016 ที่เขาเคยเป็นพระเอกคนเดียวของทีมมาแล้ว การที่ต้องตกอยู่ในสภาพ ‘ตัวประกัน’ แบบนี้ ยิ่งทำให้ชื่อเสียงเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ และไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
นี่เป็นสาเหตุที่กรีซมันน์แทบไม่ได้รับความสนใจมาก่อนที่ฟุตบอลโลกครั้งนี้จะเริ่มขึ้น
เพียงแต่เมื่อฟุตบอลโลกเริ่มอย่างเป็นทางการ กรีซมันน์ก็กลายเป็นหนึ่งในการ ‘ค้นพบ’ ที่ยิ่งใหญ่ของฟุตบอลโลกครั้งนี้ เมื่อเปลี่ยนบทบาทจากกองหน้าหรือปีก กลายมาเป็นตัวทำเกมในบทบาทใกล้เคียงกับผู้เล่น ‘หมายเลข 10’ ช่วยสนับสนุนเอ็มบัปเป ชิรูด์ และเดมเบเลในแดนบน
เรื่องนี้เป็นเครดิตสำหรับ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ที่มองเห็นความสามารถในการเล่นในพื้นที่แคบๆ จินตนาการ การผ่านบอลที่แม่นยำทั้งบอลสั้นและบอลยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะเชื่อมเกมรุกของฝรั่งเศสให้ลื่นไหลลงตัว
เรียกได้ว่าเป็นเหมือน ‘สมอง’ ของทีม
แต่ก็เป็นเครดิตสำหรับกรีซมันน์ด้วยเช่นกัน เพราะหากสั่งมาแต่ไม่ทำตามก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่กองหน้าเจ้าของสถิติการลงสนามให้ฝรั่งเศสต่อเนื่องกัน 72 นัดในระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา (ซึ่งก็บ่งบอกอะไรได้ดีอยู่ว่าทำไมเดส์ชองส์ถึงต้องใช้งานเขาตลอด) ลงไปทำหน้าที่ตามคำสั่งได้อย่างไร้ที่ติ
การมีอยู่ของกรีซมันน์นี่เองที่เป็นการ Recalibrate ปรับจูนแนวรุกของฝรั่งเศสใหม่ทั้งหมด ในฐานะหน่วยประมวลผลที่คอยป้อนคำสั่งให้กับแนวรุกคนที่เหลือลงไปไล่ล่าหาประตูจากคู่แข่ง จนกลายเป็นว่าการขาดหายของเบนเซมา นักเตะเจ้าของบัลลงดอร์ ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อทีมเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่ตำแหน่งและบทบาทอื่นๆ ของฝรั่งเศส แม้แต่ในตำแหน่งของเอ็มบัปเปมีคนที่สามารถทดแทนได้ แต่ในบทของกรีซมันน์กลายเป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครสามารถทดแทนได้
สำคัญคือเจ้าตัวเองก็ดูจะชื่นชอบกับบทบาทใหม่ในชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนเช่นกัน แม้ตลอดชีวิตการเล่นที่ผ่านมากรีซมันน์จะผ่านการเล่นมาทั้งตำแหน่งปีกทั้งสองฝั่ง ไปจนถึงกองหน้าตัวเป้า และแม้แต่กองหน้าตัวต่ำเองก็ตาม
บทในการเป็นเพลย์เมคเกอร์เต็มตัวเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน และดูเหมือนมันอาจจะกลายเป็นบทบาทที่เขาสามารถเล่นต่อไปได้อีกนานหลายปีเลยทีเดียว หากโค้ชอย่าง ดิเอโก ซิเมโอเน เฝ้ามองฟุตบอลโลกครั้งนี้อยู่
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ดีที่สุดที่กรีซมันน์แสดงให้ทุกคนได้เห็นและเรียนรู้คือ แม้ในวันที่เราอาจจะตั้งคำถามกับความสามารถของตัวเอง การมีอยู่ของตัวเองในทีมหรือองค์กร เกิดความไม่มั่นใจขึ้นมาในสิ่งที่กำลังทำอยู่
แต่ที่สุดแล้วเราทุกคนต่างมีแสงสว่างในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น
ไม่ต่างอะไรจากมีดสวิสที่มีอุปกรณ์มากมายอยู่ในนั้น ที่บางอันก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ และคิดไม่ออกว่าจะมีประโยชน์ตอนไหน แต่มันจะมีสักช่วงเวลาที่จำเป็นจะต้องใช้ขึ้นมา
นั่นแหละคือช่วงเวลาที่จะมองเห็นคุณค่าขึ้นมา
ไม่มีใครบนโลกนี้หรอกที่ไม่สำคัญ – อองตวน กรีซมันน์ ช่วยบอกให้เราได้เข้าใจ 🙂