เหล่านักวิทยาศาสตร์ที่เฝ้าดูปัญหาโลกร้อนต่างแสดงความเป็นห่วงเมื่อตรวจพบอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกล้ำเส้น 1.5 องศาเซลเซียส หลายครั้งในปี 2023 นี้ โดยครั้งล่าสุดยังคงค่าสูงอยู่ยาวนานหลายวันชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อนด้วย
เกณฑ์ 1.5 องศาเซลเซียสมาจากไหน ใครเป็นคนกำหนด
ตัวเลขนี้มาจากข้อกำหนดของการประชุมชาติภาคีสมาชิก UNFCCC (กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) หรือ United Nations Framework Convention on Climate Change ที่ปารีส เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2015 โดยมีเป้าหมายแรกเพื่อวางแผนควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ปี 1850-1900 คือก่อนการแพร่หลายของเชื้อเพลิงฟอสซิล) และมีเป้าหมายหลักคือมุ่งไปที่การควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสให้ได้ โดยให้ชาติภาคีสมาชิกทบทวนผลกันทุกๆ 5 ปี
สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้
ปี 2023 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเริ่มทะลุเกณฑ์เป็นช่วงสั้นๆ ครั้งแรกเมื่อต้นเดือนมีนาคม และอีกครั้งในเดือนมิถุนายน แต่หลังเดือนกรกฎาคม โลกก็มีจำนวนวันที่อุณหภูมิสูงเกินเกณฑ์มากขึ้นเรื่อยๆ จนมาเลวร้ายสุดในเดือนกันยายน ที่มีวันที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกพุ่งสูงเกินเกณฑ์ 1.5 องศาเซลเซียส ยาวนานติดกันหลายวันจนทำสถิติ
นับจากต้นปีจนถึงวันที่ 2 ตุลาคม โลกเรามีจำนวนวันร้อนเกิน 1.5 องศาเซลเซียส มากถึง 86 วัน
ปีอื่นก่อนหน้านี้ก็เคยมีบ้าง แต่ก็จะเกิดไม่กี่วันในรอบปี ที่เด่นสุดคือปี 2016 ที่เกิดเอลนีโญ ปีนั้นมีจำนวนวันทะลุเกณฑ์ที่ 75 วัน แต่ในปี 2023 นี้ ตัวเลขความร้อนทิ้งห่างปี 2016 ขาดลอยตั้งแต่ยังไม่ทันสิ้นปีด้วยซ้ำ
“มันเป็นสัญญาณว่าเรามาถึงระดับที่เราไม่เคยมีมาก่อน” ดร.เมลิสสา ลาเซนบี จากมหาวิทยาลัยซัสเซ็กซ์กล่าว
“ปี 2023 นี้ถือเป็นปีที่โลกร้อนเป็นประวัติการณ์ ที่น่ากังวลคือปีหน้า 2024 อาจร้อนยิ่งกว่านี้”
ทำไมถึงเป็นเดือนกันยายน
เราคนไทยอาจเคยชินกับคำว่าอากาศร้อนที่ควบคู่มากับเดือนเมษายน แต่สำหรับเขตอาร์กติกในซีกโลกเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่หลักที่ใช้ในการบันทึกอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกกันนั้น จะเข้าฤดูร้อนในเดือนกรกฎาคม และจะไปร้อนที่สุดปลายฤดูร้อนคือเดือนกันยายน โดยอุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน และเริ่มเย็นลงในเดือนตุลาคม
ที่มาของความร้อน
ปี 2023 นี้เป็นอีกปีที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นในปีหน้า “เรายังตรวจพบแนวน้ำอุ่นผิดปกติพาดยาวจากญี่ปุ่นถึงแคลิฟอร์เนีย รวมทั้งระดับอุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกปีนี้ก็ร้อนเป็นประวัติการณ์” ดร.เจนนิเฟอร์ ฟรานซิส จากศูนย์วิจัยสภาพภูมิอากาศวูดเวลล์ในสหรัฐฯ (Woodwell Climate Research Center) อธิบาย
จำนวนอนุภาคแขวนลอยในอากาศในแถบแอตแลนติกเหนือที่ทำหน้าที่สะท้อนแสงอาทิตย์กลับสู่อวกาศก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการลดจำนวนเที่ยวของการขนส่งข้ามมหาสมุทร
ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังเน้นให้สังเกตอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้น 2 ครั้งในรอบไม่กี่เดือนที่ผ่านมาของขั้วโลกใต้ที่อาจเกิดจากความแปรปรวนตามปกติ แต่กลับส่งผลไปสู่ระบบอากาศทั่วโลก “ทั้งหมดนี้รวมกับสาเหตุอื่นที่เรายังไม่รู้และยังคงต้องศึกษาเพิ่มเติม ได้ก่อให้เกิดสภาพอุณหภูมิโลกที่สูงเกินเส้น 1.5 องศาเซลเซียสที่ขีดเอาไว้ตามความตกลงปารีสไปหลายวันในปีนี้”
เหล่านักวิทยาศาสตร์ต่างคาดหวังว่าตัวเลขความผิดปกติครั้งล่าสุดของสภาพอากาศโลก โดยเฉพาะอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงทะลุเกณฑ์ที่ 1.5 องศาเซลเซียส จะปลุกจิตสำนึกของนักการเมืองและผู้นำประเทศจากชาติภาคีสมาชิก UNFCCC ในการประชุมภาคีครั้งที่ 28 หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า COP28 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 12 ธันวาคม 2023 ใน Expo City ที่ดูไบ ให้ช่วยกันออกมาตรการเร่งด่วนที่มีประสิทธิภาพให้เห็นผลโดยเร็วไม่ว่าวิธีการใด
ผลของความเลวร้ายจากอุณหภูมิโลกที่ผิดปกติในปีนี้ได้ส่งผลให้เห็นแล้วจากคลื่นความร้อนในยุโรปที่ก่อตัวจนเกิดพายุเมดิเคนหรือพายุหมุนกึ่งเขตร้อน ‘แดเนียล’ ที่ก่อฝนหนักถล่มหลายประเทศ ตั้งแต่กรีซ, ตุรกี, บัลแกเรีย ข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปทำเขื่อนแตกในลิเบีย จนมีผู้เสียชีวิตนับหมื่นคน ไม่นับฝนตกหนักผิดปกติในเอเชียตะวันออก อินเดีย และอเมริกาใต้ ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้นำโลกทุกประเทศต้องทุ่มเทอย่างจริงจังก่อนสภาพอากาศของโลกจะเปลี่ยนไปจนเกินเยียวยา
ภาพ: David McNew / Getty Images
อ้างอิง: