×

‘เวิลด์เฟล็กซ์’ เคาะราคาหุ้น IPO ที่ 7.20 บาท เปิดให้รายย่อยจอง 15-17 ธันวาคมนี้ เข้าเทรดกระดาน SET ก่อนสิ้นปี

07.12.2021
  • LOADING...
เวิลด์เฟล็กซ์

บมจ.เวิลด์เฟล็กซ์ สรุปราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ราคา 7.20 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 9-14 ธันวาคม 2564 สำหรับผู้ถือหุ้นเดิมของ บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป หรือ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน TRUBB (Pre-Emptive Right) และเปิดจองสำหรับนักลงทุนทั่วไปวันที่ 15-17 ธันวาคม 2564 พร้อมเข้าเทรดใน SET เดือนนี้

 

รัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ฝ่ายวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของ บมจ.เวิลด์เฟล็กซ์ หรือ WFX เปิดเผยว่า บริษัทได้กำหนดราคาขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 142 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท/หุ้น ในราคาหุ้นละ 7.20 บาท

 

ราคา IPO มาจากผล Bookbuilding จากนักลงทุนสถาบันจำนวน 3 แห่ง ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท โดยตามข้อมูลในไฟลิ่ง ราคา IPO ที่ 7.20 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Fully Diluted P/E Ratio) เท่ากับ 17.89 เท่า

 

ทั้งนี้ จะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 9-14 ธันวาคม 2564 สำหรับผู้ถือหุ้นเดิมของ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน TRUBB (Pre-Emptive Right) และวันที่ 15-17 ธันวาคม 2564 สำหรับประชาชนทั่วไป และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในธันวาคม 2564 ในหมวดแฟชั่น

 

สำหรับการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ จำนวนไม่เกิน 142 ล้านหุ้น คิดเป็น 30.59% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO โดยแบ่งการเสนอขายแก่นักลงทุน 3 กลุ่ม ดังนี้

 

  1. เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นของ บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป (TRUBB) ตามสัดส่วนการถือหุ้น TRUBB (Pre-Emptive Right) จำนวนไม่เกิน 11.36 ล้านหุ้น
  2. เสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท จำนวนไม่เกิน 14.20 ล้านหุ้น
  3. เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 116.44 ล้านหุ้น

 

“การกำหนดราคา IPO ที่ระดับ 7.20 บาท/หุ้น เปรียบเทียบกับบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำตลาดเส้นด้ายยางยืดชั้นนำระดับโลก และในอนาคตมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากแผนเพิ่มกำลังผลิตขึ้นอีก 14,200 ตัน/ปี จากปัจจุบันกำลังการผลิต 36,000 ตัน/ปี รองรับการขยายตลาดใหม่ สร้างโอกาสในการก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดโลกได้ในอนาคต ซึ่งทำให้นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจหุ้น WFX เป็นอย่างมาก” รัฐชัยกล่าว

 

ทั้งนี้ WFX ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบแป้งและเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบซิลิโคน โดยจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้าของบริษัท จำนวน 7 แบรนด์ ได้แก่ WORLD FLEX, THAITEX, QUALIFLEX, LT RUBBER, CHANGTHAI, PEGASUS (Blue) และ PEGASUS (China)

 

ชวลิต ติยาเดชาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WFX กล่าวว่า การเข้าระดมทุนและจดทะเบียนใน SET จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตจากการขยายตลาดใหม่ ภายใต้จุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด ไม่ว่าจะเป็นความได้เปรียบของโปรดักต์ที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมทุกขนาด ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด

 

ปัจจุบัน WFX มีความได้เปรียบด้านการเข้าถึงวัตถุดิบ เพราะโรงงานผลิตของบริษัทอยู่ในประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำยางข้นอันดับ 1 ของโลก ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเส้นด้ายยางยืด รวมทั้งการที่มีบริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TRUBB) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำยางข้นในไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ช่วยให้บริษัทเข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพในปริมาณที่ต้องการ

 

“มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งหลังจากการขยายกำลังการผลิต ซึ่งเฟสแรกมีกำหนดจะผลิตได้ในช่วงกลางปี 2565 จำนวน 6,200 ตัน/ปี และในเดือนมกราคม 2566 จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 6,200 ตัน เพื่อรองรับออร์เดอร์ลูกค้าในต่างประเทศที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก” ชวลิตกล่าว

 

ผลประกอบการของ WFX งวด 9 เดือนแรก ปี 2564 มีรายได้รวม 2,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 874 ล้านบาท หรือ 51% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,715 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129 ล้านบาท หรือ 218% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 59 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 15.96% และกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 7.27%

 

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินงานของ WFX เติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ทั้งในเอเชียใต้ บังคลาเทศ ปากีสถาน เยอรมนี อิตาลี รัสเซีย บราซิล อาร์เจนตินา และชิลี รวมถึงชิงส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่ง จากความได้เปรียบในด้านต้นทุนยางพาราธรรมชาติที่ถูกกว่าคู่แข่ง เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก

 

ขณะที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของปัจจุบันอยู่ที่ 1.12 เท่า ซึ่งภายหลังเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) บริษัทฯ มีแผนนำเงินบางส่วนไปใช้คืนหนี้สถาบันการเงิน ทำให้ D/E อยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่า

 

ผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2561-2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 19.22 ล้านบาท 7.72 ล้านบาท และ 57.81 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2561-2563 อยู่ที่ 4.82%, 4.76%, 7.42% และกำไรสุทธิในปี 2561-2563 อยู่ที่ 1.03%, 0.38%, 2.40% ตามลำดับ

 


ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

Twitter: twitter.com/standard_wealth

Instagram: instagram.com/thestandardwealth

Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising