เธียร์รี อองรี ชายผู้ยืนตรงกลางระหว่างเบลเยียมและฝรั่งเศส

ระหว่างการซ้อมเตรียมทีมช่วงก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่มต้นขึ้นของแคมป์ทีมชาติแห่งหนึ่ง เหล่าผู้คนที่พบเห็นได้ประจักษ์กับภาพของชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผู้เล่นตัวจริงที่จะได้ลงสนามมากกว่าจะเป็นแค่สตาฟฟ์โค้ช

ในการสปรินต์ เขาวิ่งได้เร็วเท่าๆ กับเหล่าคนที่เร็วที่สุด และในการลงฝึกซ้อมเขาแทบไม่เสียบอลเลย ทั้งๆ ที่เขาเองก็ตัดสินใจอำลาวงการมาได้หลายปีแล้ว

ปัจจุบัน เธียร์รี อองรี ยังคงดูดีและแข็งแรงแทบไม่ต่างจากวันวาน ซึ่งเป็นผลจากการที่ดูแลตัวเองอย่างเข้มงวด รวมถึงเรื่องของการควบคุมอาหารด้วย และในวันนี้เขากำลังสนุกกับงานในบทบาทของโค้ชที่จะถ่ายทอดความรู้และแรงบันดาลใจให้แก่นักเตะในรุ่นหลัง

สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ เขาไม่ได้ถ่ายทอดสิ่งดีๆ เหล่านั้นให้แก่เหล่าขุนพล ‘Les Bleus’ ทายาทสายตรงของเขา แต่คนที่ได้รับทั้งความรู้ คำแนะนำ และแรงบันดาลใจกลับเป็นเหล่านักเตะทีมชาติเบลเยียม ที่ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาได้เลยสักนิด

ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ นายใหญ่ทีมชาติฝรั่งเศส ผู้เคยเป็นกัปตันทีมชุดแชมป์ฟุตบอลโลกร่วมกับอองรี ในวันที่ยังเยาว์วัยเองก็อธิบายความรู้สึกได้ยากที่เห็นฮีโร่ของชาวฝรั่งเศส จะเตรียมปรากฏตัวในซุ้มม้านั่งสำรองของทีมชาติเบลเยียม คู่แข่งของพวกเขาในรอบรองชนะเลิศของศึกฟุตบอลโลก

‘มันประหลาดมาก’ เดส์ชองส์กล่าว “แต่ผมคงจะภูมิใจมากถ้าทำให้ติตี้ได้รู้ว่าเขาเข้าแคมป์ผิดทีม”

สำหรับชาวฝรั่งเศส คู่ปรับของพวกเขาในวันนี้จึงไม่ได้มีแค่มาร์ติเนซและลูกทีมปีศาจแดงแห่งยุโรปสุดห้าวของเขา

เธียร์รี อองรี คือศัตรูของชาติในวันนี้ – แม้จะเป็นแค่ชั่วคราวก็ตาม

เหตุผลที่นำไปสู่การตัดสินใจของอองรีนั้นยังเป็นปริศนา เพราะเขาเองแทบไม่เคยเปิดปากกับใครเลยแม้ว่าจะมีเสียงเรียกร้องมากมาย แม้กระทั่งทุกวันนี้ในการแถลงข่าวของทีมชาติเบลเยียม เหล่านักเตะที่ได้ทำหน้าที่กระบอกเสียงแทนทีมก็มักจะถูกยิงคำถามเสมอจากนักข่าวทุกชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนดัตช์ อังกฤษ หรือแม้แต่คนเบลเยียมเอง

“คุณรู้สึกอย่างไรกับการได้ยืนเคียงข้างเขาในสนามฟุตบอล”

“เขาช่วยพัฒนาการเล่นของคุณในแง่ไหนบ้าง”

“ประสบการณ์ของเขาจะช่วยคุณในเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศได้ไหม”

และอีกมากมายที่เกี่ยวกับอองรี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงรัศมีความเป็นดาราของเขาที่ยังคงเปล่งประกาย ไม่ต่างจากวันที่ปีกซ้ายดาวรุ่งได้กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของชาติเมื่อ 20 ปีที่แล้วในฟุตบอลโลกที่บ้านเกิดของเขา

แต่สำหรับอองรี เขาไม่ได้ปรารถนาที่จะอยู่ใต้แสงไฟ อย่างน้อยไม่ใช่สำหรับงานนี้

อองรีตกลงเข้าร่วมเป็นสตาฟฟ์โค้ชทีมชาติเบลเยียม เมื่อปี 2016 เพียงไม่กี่สัปดาห์หลัง โรแบร์โต มาร์ติเนซ ตกลงเข้ารับงานในตำแหน่งนี้ โดยนับจากวันนั้น อองรียินดีเปิดใจกับสื่อเกี่ยวกับงานนี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นการย้ำว่าเขาไม่อยากให้ใครสนใจเขาในบทบาทนี้มากเกินความจำเป็น

เหตุผลเพราะเขาไม่ใช่โค้ชใหญ่ ไม่ใช่แม้กระทั่งมือขวา เขาเป็นแค่โค้ชคนหนึ่งในทีมเท่านั้นที่ไม่ได้มีความรู้ ความสามารถ หรืออะไรที่ดีพอที่จะแย่งเครดิตจากคนที่ดีกว่าเขาได้

“ผมเป็นแค่ T3 หรือโค้ชคนที่ 3 (Third Coach) ตั้งแต่แรก ผมได้บอกกับทุกคนแล้วว่าอย่าไปทำให้มันวุ่นวาย มันไม่ใช่รายการเธียร์รี อองรีโชว์

“ผมมาเพื่อที่จะช่วยผู้จัดการทีมและทีม ผู้จัดการคือคนที่มีหน้าที่พูด ผมมีหน้าที่แค่ช่วยทำให้ทีมดีขึ้น ซึ่งในฐานะโค้ชคุณไม่จำเป็นต้องอ้างอิงถึงสิ่งที่คุณเคยทำได้ในสมัยการเป็นผู้เล่น และในฐานะโค้ช ผมยังไม่เคยได้ผ่านการพิสูจน์อะไรทั้งนั้น”

ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคม 2016 ในตอนที่เบลเยียมต้องการหาโค้ชคนใหม่แทน มาร์ก วิลมอตส์ อดีตศูนย์หน้าฮีโร่ของชาติที่ตัดสินใจวางมือหลังล้มเหลวอีกครั้งในฟุตบอลยูโร 2016 หนึ่งในแคนดิเดตที่มีการมองไว้คือ ราล์ฟ รังนิก โค้ชมือดีจากเยอรมนี ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ตัวเลือก

รังนิกประกาศชัดในเวลานั้นว่า หากเขาได้ตำแหน่ง เขาจะดึงอองรีมาเป็นมือขวาของเขา

อย่างไรก็ดี สุดท้ายเป็นมาร์ติเนซ อดีตผู้จัดการทีมวีแกนและเอฟเวอร์ตัน ที่ได้รับตำแหน่งแบบเซอร์ไพรส์ โดยหลังจากนั้นเขาได้แต่งตั้งคนสนิท แกรม โจนส์ ผู้ช่วยชาวอังกฤษของเขาเข้ามาทำงานทันที

แต่ยังขาดอีก 1 คนที่ทางสมาคมฟุตบอลเบลเยียมต้องการคือ โค้ชที่มีประสบการณ์ในฐานะผู้เล่น เคยคว้าแชมป์มาก่อน และสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้และจิตวิญญาณของผู้ชนะให้แก่นักเตะเบลเยียมรุ่นนี้ได้

อองรีคือคนที่ติ๊กถูกทุกข้อสำหรับตำแหน่งนี้ และทำให้มีการแนะนำมาร์ติเนซว่า ควรจะดึงอองรีมาเป็นหนึ่งในทีมงาน ซึ่งโค้ชพลังหนุ่มเห็นด้วย จึงมีการพูดคุยและทาบทามตำนานนักเตะลอยลมแห่งฝรั่งเศสมาร่วมงานด้วย

น่าประหลาดใจที่อองรีก็ยินดีที่จะรับงานด้วยสำหรับโปรเจกต์นี้ เพียงแต่เขามีข้อแม้ 2 ข้อด้วยกัน

หนึ่งคือ เขาขอทำงานในฐานะนักวิเคราะห์ฟุตบอลทาง Sky Sports ซึ่งเป็นงานหลักที่ทำรายได้อย่างงามให้แก่เขาในช่วงที่ผ่านมา

และอีกหนึ่งคือ เขาขอมอบเงินจำนวน 2,500 ยูโรต่อสัปดาห์ที่เขาได้รับจากงานเป็นโค้ช T3 ให้แก่มูลนิธิการกุศลทั้งหมด

ไม่ต้องสงสัยใดๆ เลย นี่คือหนึ่งในการเจรจาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวเบลเยียม

แค่เพียงการปรากฏตัวครั้งแรกของอองรีในโรงแรมที่พักของเบลเยียมที่ซาเวนเทม เมื่อเดือนกันยายน 2106 เขาก็ทำให้นักเตะระดับสตาร์ในทีมแทบกรี๊ดสลบ เพราะสำหรับหลายคน อองรีคือฮีโร่หนึ่งเดียวในดวงใจของพวกเขา เช่น คริสเตียน เบนเตเก และ มิชี บาตชูอายี

โดยเฉพาะบาตชูอายี ซึ่งเป็นเจ้าพ่อโซเชียลมีเดียถึงขั้นต้องรีบขอถ่ายรูปคู่และโพสต์ขึ้นอินสตาแกรมพร้อมข้อความสุดคม ‘Learning from the best’ หรือ ‘เรียนรู้จากคนที่เก่งที่สุด’

ว่าแต่สงสัยไหมว่าหน้าที่ของอองรีมีอะไรบ้าง?

ในการคุมซ้อมในสนาม ซึ่งเขามีหน้าที่ในการคุมเรื่องของการซ้อมลูกเซตพีซในเกมรุกเป็นหลัก นอกจากนั้นคือการช่วยตั้งกรวยฝึกซ้อม เก็บกรวย และทำทุกอย่างแบบเงียบๆ เหมือนสตาฟฟ์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง

แต่นอกเวลาแล้ว อองรียังเหมือน ‘ครู’ อีกคนของนักเตะเบลเยียม ที่ทุกคนอยากจะมาพูดคุยด้วย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันตลอดเวลา โดยเฉพาะ โรเมลู ลูกากู ศูนย์หน้าที่ไม่เคยหยุดการพัฒนาตัวเอง ซึ่งหากมีเวลาและโอกาส ไม่ว่าจะในแคมป์ทีมชาติหรือเวลาเจอกันที่อังกฤษ ทั้งสองจะมีการแลกเปลี่ยนมุมมองกันเสมอ

และสำหรับอองรี สายตาของเขาคมยิ่งกว่าเหยี่ยว ขณะที่ปากของเขาคมยิ่งกว่าใบมีดโกน ดังนั้นเขาพร้อมจะวิพากษ์ทุกอย่างได้เป็นฉากๆ อย่างลึกซึ้ง โดยที่หลายครั้งเป็นสิ่งที่เราแทบไม่ทันได้สังเกตเห็น ซึ่งหากใครคิดไม่ออกอาจจะลองหาคลิปการวิเคราะห์เกมของอองรีมานั่งดู

นั่นคือสิ่งที่เขาแลกเปลี่ยนกับลูกากูและนักเตะเบลเยียมเป็นประจำ

ดังนั้นไม่น่าแปลกใจที่เบลเยียมจะดูเติบโตและเก่งกาจขึ้นกว่าเดิมในฟุตบอลโลกหนนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งและอาจเป็นส่วนสำคัญนั้นมาจากความรู้และแรงบันดาลใจจากนักเตะระดับตำนานอย่างเขาที่ถ่ายทอดมาให้แบบไม่มีคำว่าหวง

อย่างไรก็ดี ถึงจะไม่อยากอยู่ใต้แสงไฟตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่อองรีเลี่ยงไม่ได้ที่จะตกเป็นที่สนใจและสงสัย

หากเบลเยียมชนะฝรั่งเศสขึ้นมา สีหน้าของเขาจะเป็นอย่างไร?

โลกทั้งใบนั้นอยากรู้