×

World Cup Memo DAY 3: บางครั้งความจริงก็โหดร้ายเกินไปสำหรับ GOAT

23.11.2022
  • LOADING...
World Cup Memo

HIGHLIGHTS

  • บรรยากาศในช่วงก่อนเกมที่สนามลูเซล สังเวียนใหม่ที่ใหญ่ที่สุด และจะใช้เพื่อเป็นสังเวียนนัดชิงชนะเลิศของฟุตบอลโลกครั้งนี้ จึงเป็นบรรยากาศของความคึกคัก แฟนบอลอาร์เจนตินาเชียร์เมสซีอยู่แล้ว แฟนบอลกาตาร์ก็เชียร์เมสซี และแม้แต่แฟนฟุตบอลซาอุดีอาระเบียบางคนเองก็สวมเสื้ออาร์เจนตินาที่มีชื่อของ MESSI พร้อมหมายเลข 10 อยู่ด้านหลัง
  • ชิรูด์พิสูจน์ให้เห็นด้วย 2 ประตูของเขา (ทั้งๆ ที่ฟุตบอลโลกคราวที่แล้ว นอกจากจะยิงไม่ได้ ยังยิงไม่เข้ากรอบแม้แต่หนเดียว!) ที่ช่วยให้ฝรั่งเศสเอาชนะออสเตรเลีย ประเดิมฟุตบอลโลกหนนี้อย่างสวยงามด้วยสกอร์ 4-1

นี่คือฟุตบอลโลกของเมสซี

 

ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นในหมู่แฟนฟุตบอลจำนวนมาก ไม่ใช่เฉพาะกับแฟนของทีมชาติอาร์เจนตินา แต่ยังอาจรวมถึงแฟนฟุตบอลที่เป็นกลาง ที่ต่อให้ไม่ได้เชียร์ ‘ลา อัลบิเชเลสเต’ ก็อยากจะเชียร์ให้นักฟุตบอลที่เก่งกาจที่สุดแห่งยุคสมัยได้สมหวังกับเขาสักครั้ง

 

โดยเฉพาะเมื่ออาร์เจนตินาในช่วง 3 ปีหลังที่ผ่านมาทำผลงานได้ดี นอกจากจะมีความสำเร็จกับแชมป์โคปา อเมริกา ที่ได้มาด้วยการบุกกระชากแชมป์จากบราซิลที่สนามมาราคานา ก็ยังมีทีมที่ดูองค์ประกอบเพียบพร้อมสมบูรณ์ในเชิงของการเป็น ‘ทีมของเมสซี’ ที่ทุกคนพร้อมทำหน้าที่ในสนามเพื่อกัปตันทีม


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


บรรยากาศในช่วงก่อนเกมที่สนามลูเซล สังเวียนใหม่ที่ใหญ่ที่สุด และจะใช้เพื่อเป็นสังเวียนนัดชิงชนะเลิศของฟุตบอลโลกครั้งนี้ จึงเป็นบรรยากาศของความคึกคัก แฟนบอลอาร์เจนตินาเชียร์เมสซีอยู่แล้ว แฟนบอลกาตาร์ก็เชียร์เมสซี และแม้แต่แฟนฟุตบอลซาอุดีอาระเบียบางคนเองก็สวมเสื้ออาร์เจนตินาที่มีชื่อของ MESSI พร้อมหมายเลข 10 อยู่ด้านหลัง

 

แฟนบอลเหล่านี้จึงมีความสุขอย่างยิ่งที่ขวัญใจของพวกเขา – และของโลก – เริ่มต้นฟุตบอลโลกครั้งนี้ได้เหมือนความฝัน

 

ความจริงเมสซีเกือบใส่สกอร์ได้ตั้งแต่นาทีที่ 3 แล้วในจังหวะบุกครั้งแรกของอาร์เจนตินา ที่บอลถูกเปิดเข้ามาแล้วซาอุดีอาระเบียสกัดไม่ขาด เมสซีซึ่งแอบอยู่สอดขึ้นมายิงด้วยเท้าซ้ายข้างถนัด แต่บอลยังคมไม่พอที่จะผ่านมือ โมฮัมเหม็ด อัล-โอวาอิส ผู้รักษาประตูของทีมสิงห์ทะเลทราย

 

แต่สุดท้ายก็ใส่สกอร์ได้อยู่ดีจากลูกจุดโทษในไม่กี่นาทีต่อมา ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ มันเป็นการส่งสัญญาณเตือนอีกครั้งในฟุตบอลโลกคราวนี้ว่า ผู้เล่นเกมรับจะต้องระวังให้มากกับจังหวะลูกตุกติกขัดขวางการเล่นของผู้เล่นเกมรุก นิดๆ หน่อยๆ สามารถถูกจับเช็กเป็นการฟาวล์และเสียจุดโทษได้ทันที

 

ประตูขึ้นนำจากเมสซีทำให้อาร์เจนตินาตัวลอย และพวกเขาก็อยู่ในความเชื่อที่ว่าจะสามารถปิดเกมนี้ได้อย่างไม่ยาก การจะหาโอกาสทำประตูซาอุดีอาระเบียไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร เพราะดูแล้วมีช่องโหว่มากมายเต็มไปหมด

 

เมสซี และ เลาตาโร มาร์ติเนซ ได้โอกาสส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายรวมกัน 3 ครั้ง ถึงจะไม่เป็นประตูตอนนี้ ประตูก็น่าจะตามมาได้ไม่ยากนัก

 

ตรงนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ เพราะจังหวะการหลุดเข้าไปยิงที่ล้ำหน้าทั้ง 3 ครั้ง เป็นการขุดบ่อล่อปลาของซาอุดีอาระเบีย


ต้องบอกแบบนี้ว่าวันนี้ทีมของ แอร์กเว เรอนาร์ โค้ชชาวฝรั่งเศส วางเกมแพลนในการสู้กับอาร์เจนตินามาได้อย่างละเอียดแยบยล โดยมี 3 สิ่งที่พวกเขาใช้ในการต่อสู้กับทีมฟ้า-ขาว ซึ่งประกอบไปด้วย

 

  1. การยืนรับสูงแบบ High-Line ที่สูงในระดับเกือบครึ่งสนาม
  2. กับดักล้ำหน้า
  3. การเล่นแบบดุดัน Aggressive

 

การยืนรับสูงเป็นการบีบพื้นที่ในการเล่น ทำให้อาร์เจนตินาไม่สามารถเล่นตามสไตล์การต่อบอลที่พวกเขาถนัดได้ ซึ่งหลังจากที่เริ่มเกมได้ไม่ดีนัก แผงหลังก็ค่อยๆ ขยับดันไลน์ขึ้นมาเรื่อยๆ บีบพื้นที่ในการเล่นให้แคบลง แคบลง แคบจนไม่เหลือให้มีที่ว่างของจินตนาการ

 

กับดักล้ำหน้าเป็นอาวุธที่ใช้ร่วมกับการยืนรับสูง ซึ่งเป็นเดิมพันใหญ่มาก เพราะการเช็กล้ำหน้าพลาดแค่มิลลิเมตรเดียวหมายถึงโอกาสเสียประตูทันที และระยะแค่มิลลิเมตรเดียวนี่เองที่ช่วยทำให้ซาอุดีอาระเบียยังอยู่ในเกมได้ ในจังหวะที่ เลาตาโร มาร์ติเนซ หลุดเข้าไปยิงประตูอย่างง่ายดาย แต่สุดท้าย VAR และระบบ SAOT เช็กแล้วว่าล้ำหน้า

 

สิ่งสุดท้ายคือการเล่นแบบดุดัน เล่นหนัก ตื๊อ วิ่งสู้ฟัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้เห็นจากทีมอย่างซาอุดีอาระเบีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมชุดนี้ที่ทำผลงานในช่วงก่อนเริ่มรายการได้ไม่ดีนักจนแทบจะไม่มีใครเหลียวแล

 

กลยุทธ์ของซาอุดีอาระเบียทำให้อาร์เจนตินาเริ่มเล่นไม่ได้ คิดไม่ออก เมื่อผสมกับอารมณ์ความหงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายพวกเขาก็กดปุ่มระเบิดตัวเอง

 

ความประมาทและอ่อนด้อยของเกมรับ (ใช่ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ไม่ได้อยู่ในสนามตอนนั้น) โอกาสของซาอุดีอาระเบียเกิดขึ้นในช่วงต้นครึ่งหลัง ซึ่งประตูสำคัญคือประตูตีเสมอ 1-1 จาก ซาเลห์ อัล-เชห์รี ที่ยิงเสียบเสาเข้าประตูไป

 

ลูกนี้ ‘ช็อตฟีล’ อาร์เจนตินาเข้าอย่างจัง

 

ความเชื่อ ความรู้สึกดีๆ ที่สะสมตลอด 3 ปีที่ผ่านมาถูกลบไปหมด ทุกคนในทีมถูกดูดลงสู่หลุมดำทางความคิด มองไม่เห็นแสงสว่าง และในระหว่างที่จิตกำลังหลุดนั้นเองที่พวกเขาก็ปล่อยให้ซาอุดีอาระเบียยิงแซงได้

 

ลูกยิงของ ‘เดอะ ทอร์นาโด’ ซาเล็ม อัล-ดอว์ซารี นั้นสวยสดงดงามมากก็จริง แต่สิ่งที่ทำให้อาร์เจนตินาเสียประตูคือความประมาทของเกมรับที่ไม่ตัดบอลหรือบังบอลให้เด็ดขาด ปล่อยให้เขาเล่นง่ายเหมือนประมาท ซึ่งผลของมันคือความตาย

 

หลังเสียประตูนี้ ความรู้สึกมันบอกว่าอาร์เจนตินาคงจะกลับมาได้ยาก แม้อีกฟากของใจจะอยากดูเหมือนกันว่าพวกเขา ‘แกร่ง’ พอที่จะกลับมาในสถานการณ์แบบนี้ไหวหรือไม่

 

สุดท้ายภาพทุกอย่างที่วาดไว้ก่อนทัวร์นาเมนต์ถูกลบหายไปหมด เหลือเพียงความว่างเปล่าและสีหน้าบูดเบี้ยวของแฟนบอลสาวอาร์เจนตินาที่แทบไม่อยากเชื่อสายตากับสิ่งที่เห็น

 

อาร์เจนตินา ชุดที่ดีที่สุดในรอบหลายปี และ ลิโอเนล เมสซี พ่ายแพ้ให้กับซาอุดีอาระเบียในแบบหมดสภาพ ดูอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ

 

เมสซี, อังเคล ดิ มาเรีย สังขารทำร้ายชัดเจนกลางสภาพอากาศยามบ่ายกลางทะเลทราย ขณะที่คนอื่นๆ ในทีมก็ไม่มีใครที่จะสามารถก้าวขึ้นมายืนหยัดเพื่อทีมได้เลย กลายเป็นมองไม่เห็นความหวังแม้สักนิด

 

เรื่องนี้คือความจริง และเป็นความจริงที่โหดร้าย

 

จริงอยู่ที่ความพ่ายแพ้ในเกมแรกไม่ได้หมายความว่าอาร์เจนตินาจะหมดโอกาส ในเมื่อพวกเขายังเหลืออีก 2 นัดในรอบนี้ แต่ด้วยฟอร์มแบบนี้ กับจุดอ่อนที่มองเห็นได้ทั้งในเกมรับและเกมรุกที่ง่อยเปลี้ยเสียขา ความมั่นใจที่เคยมีมามันกลายเป็นความสงสัยแล้วว่าจะเอาชนะเม็กซิโกหรือโปแลนด์ไหวไหม

 

และต่อให้ผ่านตรงนี้ไปได้ พวกเขาอาจได้กลับมาพบกับทีมแชมป์โลกอย่างฝรั่งเศสอีกครั้งในรอบเดิมกับเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

 

หากจะมีช่วงเวลาไหนที่เมสซีต้องงัดความเป็น GOAT ออกมา ก็คงต้องเป็นช่วงเวลานี้แหละ

 

แต่คำตอบก็อาจจะไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล

 

อยู่บนสีหน้าของเมสซีนั่นเอง

 

 

ชิรูด์ ตำนานดาวซัลโวฝรั่งเศส

 

ฟุตบอลโลกครั้งนี้แทบไม่มีใครสนใจ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ นัก

 

ก็ไม่แปลกในเมื่อเรามี คีเลียน เอ็มบัปเป, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี, แฮร์รี เคน และอีกมากมายเต็มไปหมด ไม่นับ คาริม เบนเซมา ผู้โชคร้าย

 

เจ้าของบัลลงดอร์ยังเปรียบเทียบยกย่องตัวเองว่าเป็นรถ ‘เอฟวัน’ ส่วนชิรูด์คือ ‘รถเข็น’ อยู่เลย

 

แต่สุดท้ายก็เหมือนทุกครั้ง ที่ชิรูด์ ในวัย 36 ปี พิสูจน์ให้เห็นด้วย 2 ประตูของเขา (ทั้งๆ ที่ฟุตบอลโลกคราวที่แล้ว นอกจากจะยิงไม่ได้ ยังยิงไม่เข้ากรอบแม้แต่หนเดียว!) ที่ช่วยให้ฝรั่งเศสเอาชนะออสเตรเลีย ประเดิมฟุตบอลโลกหนนี้อย่างสวยงามด้วยสกอร์ 4-1 ทำให้สถิติการทำประตูในทีม ‘เลส์ เบลอส์’ ของเขาก้าวมาเทียบเท่ากับ เธียร์รี อองรี ที่ 51 ประตู

 

คนเก่งจริงไม่ต้องพูดเยอะ

 

ชิรูด์ไม่ได้กล่าว เขาบอกด้วยการกระทำ

FYI
  • แอร์กเว เรอนาร์ เคยโดนเคมบริดจ์ สโมสรในระดับลีกทูของอังกฤษ ปลดจากตำแหน่งในปี 2004 แต่หลังจากนั้นทำทีมประสบความสำเร็จทางแถบแอฟริกา พาแซมเบียและไอวอรีโคสต์คว้าแชมป์แอฟริกันคัพออฟเนชันส์ ในปี 2012 และ 2015 ก่อนที่จะพาโมร็อกโกเข้ารอบฟุตบอลโลกครั้งแรกในรอบ 20 ปี
  • ชิรูด์ต้องการอีกแค่ประตูเดียวจะเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลคนเดียวของฝรั่งเศส
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising