แค่จ่ายเงินใช่ว่าจะจบ! เพราะต่อให้แบรนด์สินค้ายอมทุ่มงบมหาศาลเพื่อให้สินค้าของตนปรากฏอยู่ในฉากใดฉากหนึ่งของภาพยนตร์ หรือที่เรียกกันว่า ‘Tie-in’ ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป ถ้ายัดเยียดเกินไปก็ดู ‘ไม่เนียน’ หรือจงใจใส่ลงในฉากให้ดูกลืนไปกับบรรยากาศ อาจทำได้แค่ ‘เห็น’ แต่ไม่สร้างการจดจำ
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ Hamilton แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิสเลือกทำ แทนที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา กลับเลือกจับมือกับผู้ผลิตภาพยนตร์ร่วมกันส่งเสริมภาพลักษณ์ซึ่งกันและกัน นับตั้งแต่ปี 1932 ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Shanghai Express จนถึงตอนนี้ Hamilton ปรากฏบนข้อมือของเหล่าตัวละครในภาพยนตร์ฮอลลีวูดกว่า 500 เรื่อง กลายเป็นนาฬิกาคู่ใจของเหล่าผู้สร้างภาพยนตร์ในฐานะ The Watchmaker of Filmmakers
ไม่จงใจเผยโฉมแต่จงใจให้กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ปรากฏตัว เพราะต้องการให้นาฬิกาเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละคร นอกจากจะต้องสะท้อนภาพลักษณ์ตัวละครแล้ว ฟังก์ชันของนาฬิกาจะต้องมีจุดเชื่อมโยงกับพล็อตได้อย่างแนบเนียน Hamilton จึงต้องทำงานกับทีมเบื้องหลัง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบนาฬิกาให้กลมกลืนไปกับตัวละคร พล็อต และฉากของเรื่อง
แม้แต่การสร้างสรรค์นาฬิกาใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ สมบูรณ์แบบที่สุดก็เช่นกัน อย่างนาฬิกาสำหรับเข้าฉากของตัวละครหลักและทีมนักบินอวกาศที่จะต้องเดินทางไปดาวพฤหัสบดีในภาพยนตร์อวกาศ 2001: A Space Odyssey หรือ Khaki Navy BeLOWZERO ในภาพยนตร์เรื่อง Tenet นาฬิการุ่นพิเศษที่ใช้เวลากว่า 18 เดือนในการออกแบบ คิดค้นและทดลองจนถูกยกให้เป็นต้นแบบนาฬิกาที่สร้างขึ้นสำหรับภาพยนตร์เท่านั้น
จะว่าไป Hamilton ยังมีอีกหลายแง่มุมในการพาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกภาพยนตร์ได้อย่างแนบเนียน จะมีรุ่นไหนปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ดังของฮอลลีวูดเรื่องใดบ้างไปดูกัน
Oppenheimer (2023): 6 เรือนเวลาที่คลาสสิกตลอดกาล
ขอเริ่มด้วยหนังฟอร์มยักษ์ที่กำลังจะเข้าฉายเรื่องล่าสุด กับการพลิกบาทของ Cillian Murphy นักแสดงเจ้าบทบาทที่จะมารับบทเป็น ‘J. Robert Oppenheimer’ บุคคลสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งระเบิดปรมาณู จากการเข้าไปมีบทบาทสำคัญของเขาในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในมหากาพย์ภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง Oppenheimer ที่ดัดแปลงมาจากหนังสืออัตชีวประวัติรางวัลพูลิตเซอร์ในชื่อ The Triumph and Tragedy of J. Robert Oppenheimer ของสองนักเขียน Kai Bird และ Martin J. Sherwin ว่ากันว่าพวกเขาใช้เวลากว่า 2 ทศวรรษในการค้นคว้าประวัติของ Oppenheimer
แฟนหนัง Christopher Nolan (ผู้กำกับ) นอกจากจะได้เห็นเขารับหน้าที่เขียนบทและกำกับแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือ หนังเรื่องนี้ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX ตลอดทั้งเรื่อง! และการเลือกวันฉาย 20 กรกฎาคม ก็เป็นความตั้งใจที่อยากจะให้เป็นวันที่ใกล้เคียงกับวันที่อเมริกาทิ้งบอมบ์นิวเคลียร์ฮิโรชิมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นคือวันที่ 6 สิงหาคม 1945
และอย่างที่รู้ Nolan ถูกยกให้เป็นผู้กำกับที่ใส่ใจในรายละเอียดทั้งพล็อตเรื่องและตัวละครมาก พอเป็นหนังย้อนยุคด้วยแล้วการทำงานร่วมกับ Hamilton จึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ตั้งแต่การเฟ้นหานาฬิกาวินเทจที่เข้ากับช่วงเวลาโดยเฉพาะ โดยจะต้องคัดเลือกนาฬิกาวินเทจให้ตรงตามประวัติศาสตร์และตัวตนของตัวละครมากที่สุด และเป็นการเน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งของเวลาในภาพยนตร์ ท้ายที่สุดแล้วนาฬิกาทั้ง 6 เรือนที่ถูกเลือกมาปรากฏบนข้อมือของตัวละครหลักล้วนแล้วแต่ได้มาจากนักสะสม โดยใช้นาฬิกาจากยุค 1930 และ 1940
Cushion B Endicott และ Lexington คือสองรุ่นที่ลงตัวกับคาแรกเตอร์ของ J. Robert Oppenheimer ที่สุด ทั้งสองเรือนถ่ายทอดมรดกการออกแบบสไตล์อเมริกันได้อย่างครบถ้วน เผยให้เห็นถึงเส้นโค้งอันเป็นเอกลักษณ์ของสไตล์อาร์ตเดโค และยังแสดงให้เห็นถึงความเที่ยงตรงของกลไกนาฬิกา
ขณะที่ Kitty Oppenheimer ซึ่งแสดงโดย Emily Blunt สวมนาฬิกา Lady Hamilton A-2 ที่ทำจากทอง 14K และอีก 2 เรือนได้แก่ Piping Rock และ Military Ordnance จะอยู่บนข้อมือของ Leslie Groves, Jr. ที่แสดงโดย Matt Damon ซึ่งถูกเลือกมาให้เป็นตัวแทนสะท้อนความแข็งแกร่งและทนทานซึ่งเป็น DNA ของนาฬิกา Hamilton
Indiana Jones and the Dial of Destiny (2023): Hamilton Boulton
ขอเริ่มด้วยการเอาใจแฟนหนัง ‘อินเดียน่า โจนส์’ พร้อมต้อนรับการกลับมาของ Harrison Ford ในบท Indy ในภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยระดับตำนาน ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ภารกิจล่าขุมทรัพย์สุดขอบโลกครั้งสุดท้าย
เพื่อให้สมศักดิ์ศรีหนังระดับตำนาน Hamilton จึงเลือกให้ Harrison Ford เป็นผู้คืนชีพ Hamilton American Classic Boulton Quartz โดยทำงานร่วมกับ Ben Wilkinson จากทีมพร็อพอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ Boulton หนึ่งในเครื่องประดับคู่กายนอกเหนือจากหมวกทรงเฟโดราและแส้ สามารถถ่ายทอดความเป็นตัวตนของอินเดียน่า โจนส์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และอยู่ในทุกช่วงเวลาของการผจญภัยแบบไร้ที่ติ
‘Hamilton Boulton’ ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในนาฬิกาที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของคอลเล็กชันนาฬิกาคลาสสิกของสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่เปิดตัวในยุค 40 จนถึงปัจจุบัน Boulton ผ่านการแปลงโฉมหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้มีความทันสมัย ใน ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ก็เช่นกัน คุณจะได้เห็น Hamilton American Classic Boulton Quartz โฉมใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่นดั้งเดิม แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมมนสไตล์ Art Deco ผลิตจากสเตนเลสสตีลเคลือบ PVD สี Yellow Gold มาพร้อมหน้าปัดหลักสีขาวกับหน้าปัดย่อยตรงตำแหน่ง 6 นาฬิกา และตัวเลขอารบิก กระจกหน้าปัด Mineral แบบโค้ง ฝาหลังสเตนเลสสตีลแบบ Snap เข้ากันได้ดีกับสายหนังวัวสีน้ำตาลพิมพ์ลวดลายหนังจระเข้ ขับเคลื่อนด้วยกลไก Swiss Quartz Cal.980.183 ความแม่นยำในการทำนาฬิกาแบบสวิสที่ทันสมัยที่สุด
Tenet (2020): Khaki Navy BeLOWZERO Limited Edition
Tenet เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ชั้นดีถึงความเอาจริงของ Hamilton บนโลกภาพยนตร์ เพราะทีมออกแบบของ Hamilton และทีมโปรดักชันดีไซน์ที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ Tenet ใช้เวลากว่า 18 เดือนทำงานร่วมกันเพื่อออกแบบนาฬิการุ่นพิเศษ จนค้นพบวิธีผสานเทคโนโลยีที่ทีมสร้างต้องการเข้ากับหน้าจอบนหน้าปัดของ Khaki Navy BeLOWZERO ได้สำเร็จ จนถูกยกให้เป็นต้นแบบนาฬิกาที่สร้างขึ้นสำหรับภาพยนตร์เท่านั้น
‘Khaki Navy BeLOWZERO’ ที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกออกแบบในทุกรายละเอียดให้เป็นหนึ่งเดียวกับเนื้อหา และเป็นอุปกรณ์หลักที่ตัวเอกและทีมต้องพึ่งพา โดยเฉพาะฉากสุดท้ายของเรื่องที่ดึงประสิทธิภาพความสมบุกสมบันของนาฬิกาได้อย่างเต็มที่ หรือการออกแบบตัวอักษรดิจิทัลบนหน้าปัดสีฟ้าและสีแดงซึ่งเป็นธีมสีหลักของเรื่อง
โดดเด่นขนาดนี้ หากจะปรากฏโฉมบนจอเงินเท่านั้นคงน่าเสียดาย Hamilton จึงตัดสินใจผลิต Khaki Navy BeLOWZERO Limited Edition ขึ้นมา 2 เวอร์ชันคือ ปลายเข็มวินาทีสีแดง และปลายเข็มวินาทีสีฟ้า โดยตัวเรือนทั้งสองเวอร์ชันผลิตจากไทเทเนียมน้ำหนักเบาเหมือนกัน และยังคงรักษาคาแรกเตอร์สุขุมด้วยการเคลือบ PVD สีดำรวมทั้งสายนาฬิกาที่ทำจากยางสีดำที่เข้ากัน โดยปรับแต่งดีไซน์บางจุด เช่น ตัดช่องบอกวันที่เพิ่มความสง่าให้กับหน้าปัด มาพร้อมกลไกอัตโนมัติรหัส H-10 กำลังลานสำรองสูงสุด 80 ชั่วโมง เพื่อให้พร้อมทุกการผจญภัยไปกับคุณ
Avengers: Endgame (2019): Jazzmaster GMT
ความร่วมมือระหว่าง Hamilton กับ Marvel เริ่มต้นที่ The Avengers ในปี 2012 ในครั้งนั้น Khaki Titanium Auto อยู่บนข้อมือของ Robert Downey Jr. และ Khaki Field Auto นาฬิกาทหารทรงย้อนยุคลงตัวกับ Captain America ซูเปอร์ฮีไร่ที่โผล่มาจากยุค 40 สวมบทบาทโดย Chris Evans ไล่เรียงมาอีกหลายเรื่อง ก่อนจะปรากฏโฉมล่าสุดใน Avengers: Endgame กับรุ่น Jazzmaster GMT ปรากฏอยู่บนข้อมือของ Happy Hogan ที่รับบทโดย Jon Favreau ไม่แปลกหาก Jazzmaster จะถูกเลือกให้อยู่ในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ เพราะเป็นหนึ่งในคอลเล็กชันยอดนิยม ด้วยความคลาสสิกและดีไซน์ที่โดดเด่น สามารถเข้าได้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย และยังใส่ใจในเรื่องของประสิทธิภาพ
Spider-Man: Homecoming (2017): Ventura Elvis80
หากกล่าวว่าคอลเล็กชัน Hamilton Ventura คือไอคอนิกของ Hamilton ก็ไม่ผิดนัก ด้วยรูปทรงสามเหลี่ยมที่แปลกตาอย่างมากในช่วงปี 1957 สะท้อนนิยามของความเป็นผู้นำสู่โลกแห่งอนาคต จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เห็นก็รู้เลยว่านี่คือ Hamilton นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่คอลเล็กชัน Venture ปรากฏบนข้อมือของเหล่าตัวเอกในภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง ตั้งแต่ Blue Hawaii ปี 1961 ที่สวมใส่โดย Elvis Presley และปรากฏตัวอีกครั้งบนข้อมือของ Robert Downey Jr. ในคอลเล็กชัน ‘Hamilton Ventura Elvis80’ ผลิตขึ้นในปี 2015 เป็นคอลเล็กชันพิเศษเพื่อฉลองวาระครบ 80 ปีของ Elvis Presley แฟนตัวยงของแบรนด์ โดยดึงไอคอนิกของนาฬิกากรอบสามเหลี่ยมให้เด่นชัดด้วยรูปลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า Ventura รุ่นทั่วไป
หลังการปรากฏตัวของ ‘Ventura Elvis80’ ในภาพยนตร์ Hamilton ก็ดึงแรงบันดาลใจที่ได้จาก Spider-Man: Homecoming มารังสรรค์เป็นคอลเล็กชันพิเศษ Ventura Elvis80 Skeleton เผยโฉมใน 2 เวอร์ชันตัวเรือน ได้แก่ ตัวเรือนสเตนเลสสตีลเคลือบสีดำด้วยเทคนิค PVD และตัวเรือนสเตนเลสสตีลเคลือบสีทองกุหลาบเป็นมันวาวด้วยเทคนิค PVD โดยยังคงเอกลักษณ์รูปทรงสามเหลี่ยมที่หันยอดไปทางซ้าย พร้อมกระจกหน้าปัดคริสตัลแซพไฟร์เคลือบสารกันการสะท้อน มองเห็นจักรกลสีเงินขัดลาย ‘Côtes de Genève’ (โกตส์ เดอ เฌอแนฟ) เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่แฟนหนังและแฟนแบรนด์ต้องมีไว้ในครอบครอง
Interstellar (2014): Khaki Field Murph
ไม่ใช่ความบังเอิญแน่ๆ ที่นาฬิกาจะถูกยกระดับจากพร็อพประกอบฉากให้กลายเป็นตัวเอกของเรื่องและถูกผูกเข้าไปให้อยู่ในฉากสำคัญของ Interstellar แถมยังสามารถโชว์นาฬิกาได้ถึง 2 เรือน 2 รุ่น คือ ‘Hamilton Khaki Pilot Day Date’ หน้าปัดสีดำ ซึ่งเป็นรุ่นที่มีวางขาย และ ‘Khaki Field Murph’ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญที่เชื่อมโยงจิตใจของตัวละครเข้าด้วยกัน หลังจากที่ Joseph รับบทโดย Matthew McConaughey มอบให้กับลูกสาว Murph ก่อนจะเดินทางออกปฏิบัติภารกิจ จนมีชื่อเล่นให้กับนาฬิการุ่นนั้นว่า ‘Murph’s Watch’ หรือ นาฬิกาของเมิร์ฟ
โดยทีมผู้สร้าง Interstellar ขอให้ทาง Hamilton จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อการถ่ายทำ โดยเฉพาะฉากสำคัญที่ Joseph ส่งรหัสมอร์สที่ไขความลับในการกอบกู้โลกกลับมาผ่านเข็มวินาทีบนนาฬิกา ‘Khaki Field Murph’ ฉากนี้นี่เองที่ Murph’s Watch ได้โชว์ความพิเศษผ่านเข็มวินาทีที่ขยับแบบผิดธรรมชาติ โดยการสั่งทำกลไกพิเศษให้ทีมงานสามารถขยับเข็มวินาทีได้เองด้วยมือ
5 ปีหลังภาพยนตร์ออกฉาย Hamilton ผลิต Hamilton Khaki Field Murph ตัวเรือนทำจากสเตนเลสสตีลมาพร้อมหน้าปัดสีดำและกลไกอัตโนมัติรหัส H-10 กำลังลานสำรองสูงสุด 80 ชั่วโมง มาพร้อมสายหนังสีดำ กิมมิกอยู่ที่พรายน้ำสีขาวบนเข็มชั่วโมงและเข็มนาทีที่มาพร้อมเทคโนโลยีเคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova® สีเบจ ในขณะที่เข็มวินาทีเคลือบนิกเกิลพร้อมคำว่า Eureka ในรหัสมอร์ส และเหตุผลที่ผลิตเพียง 2,555 เรือน เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากจำนวน 2,555 วันบนพื้นโลก ที่เปรียบได้กับระยะเวลา 7 ปี และเทียบเท่าระยะเวลา 1 ชั่วโมงที่ตัวละคร Cooper นำยานลงจอดนั่นเอง
มากไปกว่าใช้นาฬิกาสนับสนุนให้ภาพยนตร์สมบูรณ์แบบ Hamilton ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและผลักดันคนทำงานเบื้องหลังด้วยการจัดงานประกาศรางวัล Hamilton Behind the Camera Awards (BTCA) ซึ่งจัดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2006 และจัดต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 12 แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นของสองอุตสาหกรรม
แต่ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ Hamilton เติบโตในใจคนรักนาฬิกามาตลอด 130 ปี นอกเหนือจากความโดดเด่นในโลกภาพยนตร์ คงหนีไม่พ้นเรื่อง ‘ความเที่ยงตรง’ จนได้รับบทบาทในการปรับเวลาทางรถไฟสายแรกๆ ของประเทศให้ตรงกัน รวมถึงการเป็นผู้นำในนวัตกรรมใหม่ๆ อาทิ นาฬิกาที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เรือนแรกของโลก