เป็นเวลาหลายปีที่ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก จนได้รับฉายาว่า ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียมีเป้าหมายที่จะแซงหน้าไทย และเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แห่งใหม่ในเอเชีย
เป้าหมายอันทะเยอทะยานนี้ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ แหล่งแร่ธาตุอันอุดมสมบูรณ์ของประเทศที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ และการเปลี่ยนแปลงสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
โจโก วิโดโด ประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย แสดงความมั่นใจในการส่งเสริมให้ประเทศอินโดนีเซียเป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องการสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เขาใช้ประโยชน์จากการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ในเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น โดยได้ชักชวนผู้นำระดับโลกให้ลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ EV
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- WHA ปิดดีลขายที่ดิน 600 ไร่ให้ BYD ตั้งโรงงานผลิตรถ EV เผย Top 5 ผู้ผลิตรถ EV จีนสนลงทุนไทยทุกราย
- ‘เมอร์เซเดส-เบนซ์’ ประกาศรุก EV ในไทยเต็มรูปแบบ ขึ้นแท่นแบรนด์รถลักชัวรีรายแรกที่ผลิตและประกอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า 100%
- NETA ไม่เปลี่ยนใจ! เลือกไทยฐานผลิตส่งออกอาเซียน พร้อมผลิตอีก 2 รุ่นเอาใจคอ EV เผยอยู่ระหว่างหารือ BOI ต่อยอดแผนธุรกิจ
ในทางตรงกันข้าม ประเทศไทยแม้จะเป็นผู้ทรงอำนาจในอุตสาหกรรมยานยนต์มาอย่างยาวนาน แต่ก็ยังคงต่อสู้กับอัตราการผลิตรถยนต์ที่ลดลง การลดลงดังกล่าวมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย รวมถึงน้ำท่วมใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาที่สร้างความเสียหายให้กับโรงงานผลิต และบังคับให้ต้องย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ
การลดลงของการผลิตรถยนต์ในไทยนับตั้งแต่จุดสูงสุดในปี 2556 ซึ่งผลิตได้ 2.45 ล้านคัน แต่ในปี 2565 การผลิตลดลงประมาณ 23% เหลือ 1.88 ล้านคัน ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ อินโดนีเซียแสดงให้เห็นถึงการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% แตะที่ 1.47 ล้านคันในปี 2565 ซึ่งใกล้เคียงกับ 80% ของผลผลิตของไทยในปีนั้น เป้าหมายสำหรับอินโดนีเซียในปัจจุบันคือเพิ่มการผลิตเป็น 1.6 ล้านคัน
ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของอินโดนีเซียในอุตสาหกรรม EV นั้นอยู่ใต้พื้นดิน ประเทศอินโดนีเซียมีนิกเกิลสำรองจำนวนมาก ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ EV ทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลที่เอื้อประโยชน์ในการมุ่งส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ทำให้ได้รับความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์จากต่างประเทศ
อันที่จริงผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลก ซึ่งรวมถึง Hyundai Motor Group ของเกาหลีใต้ และ SAIC-GM-Wuling ของจีน เริ่มการผลิต EV ในอินโดนีเซียในปี 2565 นอกจากนี้ Tesla ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ก็มีข่าวลือว่าอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทำข้อตกลงเพื่อสร้างโรงงานในอินโดนีเซีย
ผู้ผลิตแบตเตอรี่ยังแสดงความสนใจอย่างมากในอินโดนีเซีย เช่น บริษัท LG Energy Solution ของเกาหลีใต้ กำลังอยู่ในขั้นตอนการสร้างโรงงานแบตเตอรี่ร่วมกับ Hyundai Motor Group และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2567 และ CATL ของจีน ซึ่งเป็นผู้นำด้านการผลิตแบตเตอรี่ EV ก็กำลังวางแผนที่จะจัดตั้งโรงงานผลิตแห่งใหม่ในอินโดนีเซียด้วย
ในทางตรงกันข้าม ไทยเริ่มต้นการเดินทางในอุตสาหกรรมยานยนต์ย้อนกลับไปในทศวรรษที่ 1960 โดยมีผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Toyota มาตั้งโรงงานผลิต เมื่อเวลาผ่านไป ไทยพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งและกลายเป็นศูนย์กลางการส่งออกที่สำคัญ ไม่เพียงแต่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกาด้วย
แม้จะมีภูมิหลังที่น่าประทับใจ แต่การเปลี่ยนแปลงทั่วโลกที่มีต่อ EV ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในตำแหน่งที่ท้าทาย อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศต้องพึ่งพารถยนต์เครื่องยนต์เบนซินเป็นส่วนใหญ่ ความท้าทายที่เพิ่มเข้ามาคือข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งมีฐานสำคัญในประเทศไทย ได้เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเชื่องช้า
อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะได้ตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน โดยภายในปี 2573 ต้องการให้รถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วนมากกว่า 30% ของรถยนต์ใหม่ทั้งหมดที่ผลิต
นอกจากนี้ผู้ผลิตรถยนต์ของจีนหลายรายกำลังวางแผนที่จะลงทุนในประเทศไทย BYD ยักษ์ใหญ่รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน เผยแผนสร้างโรงงานรถยนต์ไฟฟ้าในจังหวัดระยอง ภาคตะวันออกของประเทศไทย, Changan Automobile ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนอีกรายหนึ่ง มีแผนที่จะลงทุนก้อนโตในโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย
เนื่องจากทั้งอินโดนีเซียและไทยมุ่งสู่กระแสโลกของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์พลังงานใหม่อื่นๆ การแข่งขันระหว่างสองประเทศในเอเชียคาดว่าจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะกำลังพยายามอย่างมากในการวางตำแหน่งตัวเองเป็น ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ แห่งใหม่
ภาพ: Yvan Cohen / LightRocket via Getty Images
อ้างอิง: