×

เปิดความท้าทายใหม่ของ ‘วิชัย ทองแตง’ ปั้นสตาร์ทอัพไทยขึ้นแท่นยูนิคอร์น

04.02.2022
  • LOADING...
วิชัย ทองแตง

เมื่อเร็วๆ นี้ ข่าวคราวของ วิชัย ทองแตง นักธุรกิจและนักลงทุนแถวหน้าของเมืองไทย เป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะอีกครั้งในฐานะผู้ร่วมลงทุนกับบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่เพื่อลุยธุรกิจ EdTech ซึ่งนับเป็นเพียงจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งของชายวัย 75 ปีคนนี้ 

 

วิชัยคร่ำหวอดในตลาดทุนไทยมาราว 44 ปี จึงไม่น่าแปลกใจหากจะได้รับฉายาว่านักลงทุนรุ่นเก๋า อย่างไรก็ตาม ความท้าทายครั้งใหม่ของวิชัยกลับโฟกัสไปที่ ‘กลุ่มสตาร์ทอัพ’ โดยฝันครั้งใหม่ของเขาคือการปั้นสตาร์ทอัพไทยให้เป็นยูนิคอร์น

 

“เพราะวิถีชีวิตที่ผ่านมาล้วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านจากยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่ง ส่วนตัวจึงสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น” วิชัยกล่าวกับ THE STANDARD WEALTH 

 

วิชัยเริ่มสนใจและก้าวเข้าสู่วงการสตาร์ทอัพไทยเมื่อราว 15 ปีที่แล้ว ผ่านการเป็นที่ปรึกษาให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพ และให้ความเชื่อเหลือทางด้านการเงินบ้างเล็กน้อย และจากจุดเริ่มต้นดังกล่าวทำให้ได้พบกับสตาร์ทอัพจำนวนมาก และได้เห็น Pain Point ที่ทำให้หลายธุรกิจสตาร์ทอัพถึงจุดตีบตัน หรือไม่สามารถ Scale Up ได้ 

 

‘Smart People’ จุดเริ่มต้นสำคัญ 

วิชัยกล่าวว่า หลังจากที่คลุกคลีในวงการสตาร์ทอัพมาร่วม 15 ปี ข้อค้นพบหนึ่งที่สำคัญมากๆ คือ สตาร์ทอัพที่ดี ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ ต้องเริ่มต้นจาก Smart People เป็นหลัก กล่าวคือ ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพต้องมีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจของตัวเองอย่างถ่องแท้ และที่สำคัญต้องรู้จักทรานส์ฟอร์มองค์กรด้วยเทคโนโลยี 

 

“เพราะยุคนี้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วและเกิดขึ้นตลอดเวลา หากผู้ก่อตั้งขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยี ไม่เข้าใจเรื่อง Digital Transformation ก็อาจจะไปไม่ถึงฝั่ง และอาจจะประสบความสำเร็จได้ยาก” 

 

เขากล่าวว่า จากการมีประสบการณ์ร่วมลงทุนและเป็นที่ปรึกษาให้กับสตาร์ทอัพไทยมา พบว่าสตาร์ทอัพไทยส่วนใหญ่มีศักยภาพในการเติบโต และผู้ก่อตั้งก็มีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี รวมถึงพร้อมนำมาปรับใช้ จึงเชื่อว่าความท้าทายและเป้าหมายของกลุ่มทองแตงในการปั้นสตาร์ทอัพไทยให้กลายเป็นยูนิคอร์นนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ 

 

‘Growth and Gain’ คุณสมบัติดาวรุ่ง

แม้จะลงทุนและเป็นที่ปรึกษาในสตาร์ทอัพหลายสิบแห่ง แต่ไม่ใช่ว่าทุกแห่งที่กลุ่มทองแตงเข้าลงทุนหรือร่วมผลักดันจะเป็นสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ

 

วิชัยกล่าวว่า หลังจากมีประสบการณ์กับสตาร์ทอัพมาระดับหนึ่งแล้ว จึงตกผลึกสูตรเลือกสตาร์ทอัพในเบื้องต้น คือต้องมี Growth และ Gain   

 

“พอเริ่มมีประสบการณ์มากขึ้นกับสตาร์ทอัพ เราก็จะเริมมองว่าเขามี 2G คือ Growth และ Gain มาด้วยหรือไม่ ถ้ามีมาด้วยก็จะให้น้ำหนักความสนใจและพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะนั่นหมายความว่าสตาร์ทอัพนั้นมีความรู้ในธุรกิจตัวเองและมีความเข้าใจในแนวทางสร้างการเติบโต” วิชัยกล่าว 

 

ทั้งนี้ที่ผ่านมากลุ่มทองแตงเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพไม่จำกัดประเภท แต่จะเน้นให้ตรงกับปัจจัยที่ใช้พิจารณาคือ 2G และเป็นสตาร์ทอัพที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจเดิมของกลุ่มทองแตง โดยสตาร์ทอัพส่วนมากที่เข้าลงทุนมักเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจด้านเทคโนโลยีเป็นส่วนมาก

 

รับ ‘มองพลาด’ ก็มี แต่ถือเป็นประสบการณ์

ตลอด 15 ปีที่เข้าวงการผู้ลงทุนในสตาร์ทอัพ กลุ่มทองแตงลงทุนในสตาร์ทอัพไปมากกว่า 10 บริษัท ซึ่งมีหลายบริษัทที่ Scale Up สำเร็จ และขยับชั้นขึ้นมาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงอยู่ระหว่างเตรียมตัวเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์อีกราว 1-2 แห่ง 

 

ในทางกลับกัน ประสบการณ์เข้าลงทุนแล้วล้มเหลวก็มี โดยมีทั้งที่เข้าลงทุนไปแล้วตัวธุรกิจไม่สามารถเติบโตต่อได้ รวมถึงกรณีที่ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพตั้งใจปั้นธุรกิจมาขายก็มีเช่นกัน 

 

“ที่ผ่านมาก็มีสตาร์ทอัพที่ต้องการปั้นธุรกิจมาเพื่อขาย เราก็เคยเจอ แต่อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพมีความสามารถในการสร้างธุรกิจขึ้นมาจริงๆ และก็มีบางสตาร์ทอัพที่เฟกขึ้นมาเพื่อหวังการสนับสนุนทางการเงิน แต่โครงธุรกิจไม่ดีจริง ก็เคยเจอบ้างเหมือนกัน แต่ก็เป็นส่วนน้อยที่เราพลาดไป” วิชัยกล่าว 

 

วิชัยกล่าวเพิ่มว่า จากนี้ไปจะมีการตรวจสอบ และวิเคราะห์พื้นฐานธุรกิจ งบการเงิน และแผนธุรกิจของสตาร์ทอัพอย่างละเอียดมากขึ้น โดยปัจจุบันกลุ่มทองแตงมีทีมวิเคราะห์และเป็นที่ปรึกษาให้กับสตาร์ทอัพประมาณ 20 คน

 

แนะระวัง ‘กับดัก’ ผลตอบแทน

ในฐานะผู้ลงทุน วิชัยยอมรับว่าผลตอบแทนจากสตาร์ทอัพค่อนข้างจูงใจ เพราะหากสตาร์ทอัพที่ลงทุนสามารถ Scale Up และธุรกิจเติบโตได้ ผลตอบแทนระดับ 10-100 เท่าตัวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังในผลตอบแทนจากการลงทุนระดับสูงเช่นนี้อาจจะเป็นกับดักสำหรับผู้ลงทุนเสียเอง โดยอาจทำให้ผลีผลามลงทุนโดยที่ยังไม่รู้จักสตาร์ทอัพนั้นๆ ดีพอ 

 

โดยทั้งส่วนตัวของวิชัยและกลุ่มทองแตงได้กำหนดเป้าหมายผลตอบแทนระยะสั้นและระยะยาวเอาไว้เช่นกัน และเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ผ่านมาถือว่าน่าพอใจ โดยมีบางสตาร์ทอัพที่ให้ผลตอบแทนได้เร็วกว่าที่คาด ในระดับที่สูงกว่าเป้าหมาย

 

“ที่สำคัญกว่าได้ผลตอบแทนเท่าไร ก็คือการเข้าไปช่วย ทั้งเป็นที่ปรึกษา ช่วยสร้างเน็ตเวิร์ก ช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง ทุกอย่างที่ผู้ลงทุนเข้าไปช่วย จะเป็นจุดพลิกสำคัญสำหรับสตาร์ทอัพ” วิชัยกล่าว 

 

หวังรัฐสร้างเวทีให้สตาร์ทอัพไทยได้โชว์ศักยภาพ

นอกเหนือจากพื้นฐานธุรกิจที่ดี ผู้ก่อตั้งมีแผนธุรกิจที่ชัด ผู้ลงทุนพร้อมให้การสนับสนุนแล้ว การสนับสนุนจากภาครัฐเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญที่วงการสตาร์ทอัพไทยต้องการ 

 

“ส่วนตัวไม่ตำหนิรัฐ แต่คิดว่ารัฐเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมสตาร์ทอัพไปสู่เป้าหมายความสำเร็จ และสามารถประกาศตัวเป็นยูนิคอร์นได้ โดยรัฐจะเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งเสริมและสนับสนุนในมุมของการบริหารจัดการ” วิชัยกล่าว

 

เขาเสนอแนะว่ารัฐควรเปิดเวทีหรือสร้างพื้นที่ให้สตาร์ทอัพไทยได้แสดงศักยภาพต่อประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ภาคธุรกิจของประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศคู่ค้าสำคัญได้รับรู้ถึงศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย

 

โดยยกตัวอย่างถึงงาน APEC 2022 ที่กำลังจะจัดขึ้นในประเทศไทย รวมถึงงานประชุม CEO องค์กรใหญ่จาก 90 ประเทศที่จะจัดขึ้นในประเทศไทยนั้น หากรัฐบาลเปิดพื้นที่ให้ยูนิคอร์นไทยมาแสดงศักยภาพ เพื่อให้ผู้นำต่างชาติได้รับรู้ว่าประเทศไทยก็มียูนิคอร์นที่น่าสนใจ และมีสตาร์ทอัพอีกมากที่สร้างธุรกิจที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศ ก็จะช่วยให้สตาร์ทอัพประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น  

 

“เท่าที่คุยกับเน็ตเวิร์ก เรามีแผนที่จะปั้นสตาร์ทอัพไทยให้เป็นยูนิคอร์นให้ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างแต้มต่อให้กับประเทศไทยมากขึ้นเท่านั้น และเชื่อว่าด้วยศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย ยังเกิดยูนิคอร์นได้หลายราย” วิชัยกล่าวปิดท้าย 

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising