นพ.แอนโทนี เฟาชี หัวหน้าที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของทำเนียบขาว กล่าวว่า มิว (Mu) ซึ่งเป็นไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ ยังไม่ถือเป็นภัยคุกคามเฉพาะหน้าสำหรับสหรัฐฯ
“เรากำลังให้ความสนใจสายพันธุ์มิวอย่างจริงจัง แต่เราไม่คิดว่ามิวเป็นภัยคุกคามเฉพาะหน้าในตอนนี้” นพ.เฟาชีกล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (2 กันยายน)
องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุในรายงานระบาดวิทยาโรคโควิดรายสัปดาห์ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารว่า ทางหน่วยงานได้เพิ่มสายพันธุ์ ‘มิว’ หรือที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า B.1.621 เข้าไปในรายชื่อสายพันธุ์ที่ ‘น่าสนใจ’ ของ WHO เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
นพ.เฟาชีกล่าวว่า “สายพันธุ์นี้มีกลุ่มของการกลายพันธุ์ที่หลบเลี่ยงแอนติบอดีบางชนิดได้ ไม่เพียงโมโนโคลนอลแอนติบอดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแอนติบอดีที่เกิดจากวัคซีน และแอนติบอดีที่ได้จากเซรุ่ม แต่มีข้อมูลทางคลินิกไม่มากนักที่บ่งชี้เช่นนั้น เพราะข้อมูลส่วนใหญ่เป็นข้อมูลจากการทดลองในหลอดทดลองในห้องปฏิบัติการ”
แพทย์ที่ปรึกษาทำเนียบขาวกล่าวด้วยว่า แม้วัคซีนโควิดถูกพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงสายพันธุ์โควิดดั้งเดิม แต่วัคซีนก็ยังมีประสิทธิภาพมากในการต่อต้านสายพันธุ์เดลตา
“จำไว้ว่า ถึงแม้จะมีสายพันธุ์ที่ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงบ้าง แต่วัคซีนก็ยังค่อนข้างมีประสิทธิภาพในการต่อต้านสายพันธุ์ที่พบในเวลานั้น” นพ.เฟาชีกล่าว
WHO เคยจัดประเภทให้เดลตาเป็น ‘สายพันธุ์ที่น่าสนใจ’ จนกระทั่งถูกประกาศเป็น ‘สายพันธุ์ที่น่ากังวล’ ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม หลังจากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าเดลตาสามารถแพร่กระจายได้ง่ายกว่าไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเดลตาก็ถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของการระบาดใหญ่ทั่วโลก รวมถึงในสหรัฐฯ
นพ.เฟาชีกล่าวต่อไปด้วยว่า สายพันธุ์เดลตายังคงเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 99% ของการติดเชื้อใหม่ในประเทศ ขณะที่สายพันธุ์มิวนั้นยังไม่ใกล้เคียงกับการระบาดไปทั่วสหรัฐฯ
แต่ถึงกระนั้น “เรากำลังจับตาดูสายพันธุ์นี้อย่างใกล้ชิด” นพ.เฟาชีกล่าว
มิวถูกพบครั้งแรกในโคลอมเบีย และปัจจุบันได้รับการยืนยันในอย่างน้อย 39 ประเทศ องค์การอนามัยโลกเตือนว่าแม้ความชุกทั่วโลกของสายพันธุ์นี้จะลดลง โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 0.1% แต่ความชุกของสายพันธุ์นี้ในโคลอมเบียและเอกวาดอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภาพ: J. Scott Applewhite-Pool / Getty Images
อ้างอิง: