×

ข้อควรรู้ เมื่อ Ethereum ‘อัปเกรด’ (Hard Fork) ครั้งใหญ่

05.08.2021
  • LOADING...
Ethereum

การพัฒนาระบบของ Ethereum ประกาศไว้ว่าจะมีการ Hard Fork ถึง 3 ครั้งด้วยกัน คือ Berlin Hard Fork, London Hard Fork และ Shanghai Hard Fork ซึ่งชื่อเหล่านี้จะตั้งชื่อตามเมืองเจ้าภาพการประชุม

 

โดย Hard Fork คือการอัปเกรดระบบของบล็อกเชนให้เป็นระบบใหม่ทั้งหมด อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นมาเป็นรูปแบบใหม่ แต่ก็ยังสามารถเข้ากันกับระบบเก่าได้อย่างไม่มีปัญหา

 

ในช่วงก่อนหน้านี้ Ethereum ได้มี Berlin Hard Fork ครั้งแรกในช่วงเดือนเมษายน ปี 2021 เป็นการอัปเกรดระบบบล็อกเชนเพื่อป้องกันการโจมตี ให้ระบบมีความปลอดภัยมากขึ้น และยังช่วยป้องกันเหรียญคริปโตฯ อื่นๆ ด้วย เนื่องจากการป้องกันการโจมตีส่งผลให้มีค่าธรรมเนียม หรือ ‘ค่า Gas’ สูงขึ้น มีความผันผวนสูง จึงทำให้ Ethereum จำเป็นต้องพัฒนาเครือข่ายใหม่ จึงได้เปิดตัว Ethereum London Hard Fork หรือที่เรียกกันว่า EIP-1559 (Ethereum Improvement Proposal) ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้ และจะอัปเกรดให้ใช้งานภายในวันนี้ (5 สิงหาคม)

 

สำหรับ EIP-1559 คือข้อเสนอการเปลี่ยนวิธีคิดค่าธรรมเนียมหรือค่า Gas ที่จะใช้ระบบอัตโนมัติในการเสนอค่า Gas โดยวัดจากความหนาแน่นของธุรกรรมขณะนั้นๆ บนเครือข่าย Ethereum ซึ่งจะมีผลให้ค่าธรรมเนียมหรือค่า Gas ถูกลง เพราะค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้งานบนเครือข่าย Ethereum ลดลง และได้เริ่มมีคู่แข่งเป็นเครือข่ายอื่นๆ ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยใช้จุดแข็งเป็นค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า มีการ Burn เหรียญจากค่าธรรมเนียม และลดซัพพลายของเหรียญ Ether ซึ่งส่งผลให้เหรียญในระบบมีมูลค่าสูงขึ้น

 

เอริก คอนเนอร์ ผู้ร่วมเขียน EIP-1559 และผู้ร่วมก่อตั้ง EthHub กล่าวกับ CNBC ว่า “การพัฒนาเช่นนี้จะดีต่อผู้ใช้งานมือใหม่ของ Ethereum และยังทำให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นด้วย” และในฝั่งของ มัลเท็ม เดมิเรอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์ของ CoinShares บริษัทด้านการบริหารสินทรัพย์ดิจิทัล มองว่าการพัฒนาครั้งนี้ถือว่ามีนัยสำคัญนับตั้งแต่การเปิดตัว Ethereum เลย แต่เขามองว่าจุดประสงค์ของการพัฒนาครั้งนี้ก็เพื่อทำให้ระบบนิเวศอย่าง DeFi, NFTs และ DApps อื่นๆ แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งไม่น่าจะมีผลในระยะสั้นเท่าใดนัก หากแต่จะมีผลในระยะยาวมากกว่า เพราะการลดจำนวนซัพพลายลงจะส่งผลต่อมูลค่าของ Ethereum ในระยะยาวเป็นอย่างมาก

 

นอกจากนี้ มัลเท็มเชื่อว่า การพัฒนา EIP-1559 ยังไม่พอที่จะทำให้ระบบเหรียญของ Ethereum มีมูลค่าสูงขึ้นในระยะยาว หากพิจารณาปัจจัยนี้เดี่ยวๆ ยังแค่ยืนยันว่า Ethereum เป็นเชนที่เจ้าของยังทำงานอยู่ก็เท่านั้น แต่เพราะอีกปัจจัยอย่างการจะเริ่มเปลี่ยนไปทำ PoS (Proof of Stake: วิธีการทำงานของระบบตรวจสอบและบันทึกธุรกรรม หรือเรียกว่า Consensus บนบล็อกเชน) แทน PoW (Proof of Work: การที่นำอุปกรณ์ขุดมาขุด เพื่อทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับบล็อกเชน) ในช่วงปลายปีนี้ถึงปีหน้า ซึ่งจะทำให้การยืนยันธุรกรรมมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น ดังนั้นหากประกอบปัจจัยของการพัฒนา EIP-1559 และ PoS เข้าด้วยกัน จะส่งผลต่อมูลค่าเหรียญ ETH ในระยะยาวเป็นอย่างมาก

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising