เป็นเวลาเกือบ 2 สัปดาห์แล้วนับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารขึ้นที่ไนเจอร์ หลังเจ้าหน้าที่กองทัพภายใต้การนำของ พล.อ. อมาดู อับดรามาเน นำกำลังยึดอำนาจประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด บาซูม โดยอ้างว่าสถานการณ์ด้านความมั่นคงในไนเจอร์ย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาความตกต่ำทางเศรษฐกิจและธรรมาภิบาล
สถานการณ์ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดกระแสความวิตกกังวลอย่างมากจากประชาคมโลก โดยเฉพาะชาติตะวันตกที่พยายามออกมาตรการกดดันให้คณะรัฐประหารคืนอำนาจให้กับบาซูมโดยเร็ว
สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษนั้นคือไนเจอร์เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสมาก่อน ซึ่งหากว่าชาติตะวันตกเสียไนเจอร์ไป ก็จะเท่ากับว่าเป็นการสูญเสียอิทธิพลที่เคยมีในดินแดนนี้ไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัสเซียพยายามรุกคืบเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งชาวไนเจอร์เองก็รู้ความจริงข้อนี้ดี โดยเมื่อไม่นานมานี้ ประชาชนที่สนับสนุนคณะรัฐประหารก็ได้มีการโบกธงชาติรัสเซียคู่กับธงของประเทศเพื่อเป็นการเย้ยชาติฝรั่งเศส อีกทั้งยังมีกระแสข่าวว่าทหารของไนเจอร์อาจติดต่อกลุ่มทหารรับจ้างวากเนอร์ให้เข้ามาช่วยเหลือในกรณีที่เกิดการแทรกแซงทางทหารจากต่างชาติ
สำหรับข้อมูลทั่วไปนั้น ไนเจอร์ถือเป็นประเทศส่งออกยูเรเนียมรายใหญ่อันดับ 7 ของโลก ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่มีความสำคัญของพลังงานนิวเคลียร์และเป็นองค์ประกอบในกระบวนการรักษาโรคมะเร็ง แต่ถึงเช่นนั้น ไนเจอร์ก็ติดโผหนึ่งในประเทศที่ยากจนมากที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องได้รับเงินช่วยเหลือด้านการพัฒนาประเทศจากชาติและองค์กรต่างๆ เกือบ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ข้อมูลตัวเลขคาดการณ์งบประมาณปี 2023 ระบุว่า งบประมาณแผ่นดินของไนเจอร์ในปีงบการเงินนี้จะอยู่ที่ 3.2 ล้านล้านฟรังก์เซฟา (5.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยเงินประมาณ 3.42 แสนล้านฟรังก์เซฟา คาดว่าจะมาจากการสนับสนุนงบประมาณและเงินกู้จากต่างประเทศ
ด้วยเหตุนี้ การใช้มาตรการคว่ำบาตรจากชาติต่างๆ จึงถือเป็นหนึ่งใน ‘ไม้แข็ง’ ที่หวังบีบให้คณะรัฐประหารของไนเจอร์ยอมจำนน และนี่คือมาตรการที่ชาติต่างๆ ใช้ลงดาบกดดันไนเจอร์ให้คืนอำนาจแก่ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว
ภาพประกอบ: พุทธิพงศ์ โรจน์ศตพงค์
อ้างอิง: