อุตสาหกรรมคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงาน ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ทำให้ธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ค่อนข้างน่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนระยะยาวที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ
บทความนี้ THE STANDARD WEALTH อยากพาไปทำความรู้จักกับ ‘ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท’ หรือ WHART กองทรัสต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยพื้นที่ทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ 1.74 ล้านตารางเมตร และอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 89% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2566)
ล่าสุด WHART มีแผนที่จะขยายทรัพย์สินภายใต้การบริหารผ่าน 3 โครงการที่มีศักยภาพของกลุ่มบริษัท บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) หรือ WHA Group คิดเป็นพื้นที่รวม 142,896 ตารางเมตร ได้แก่
- โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม.21 (WHA Mega Logistics Center เทพารักษ์ กม. 21) พื้นที่เช่าอาคาร 90,862 ตารางเมตร และพื้นที่เช่าหลังคา 33,477 ตารางเมตร
- โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง (WHA Mega Logistics Center แหลมฉบัง) โปรเจกต์ 1 พื้นที่เช่าอาคาร 24,310 ตารางเมตร
- โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ บางนา-ตราด กม.23 (WHA Mega Logistics Center บางนา-ตราด กม.23) โปรเจกต์ 3 พื้นที่เช่าอาคาร 27,724 ตารางเมตร และพื้นที่เช่าหลังคา 2,989 ตารางเมตร
ทั้ง 3 โครงการมีผู้เช่าที่สำคัญหลายราย เช่น Perfect Companion Group ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงรายหลัก เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารสุนัข Smart Heart และผลิตภัณฑ์อาหารแมว Me-O เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบริษัทผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญหลายราย ได้แก่ Hankyu Hanshin Express, Nippon Express และ DB Schenker ซึ่งเป็นผู้เช่าคลังสินค้าของ WHART ในโครงการอื่นๆ อีกด้วย โดยการลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้คิดเป็นมูลค่าการลงทุนไม่เกิน 3,566.49 ล้านบาท
จุดเด่นของ WHART
WHART ถือเป็นกองทรัสต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่าตามราคาตลาดกว่า 3.1 หมื่นล้านบาท (ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2566) ภายหลังการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม 53% ของคลังสินค้า และโรงงานของ WHART จะเป็นรูปแบบ Built-to-Suit ที่มีสัญญาเช่าเป็นสัญญาระยะยาวมากกว่าผู้เช่าคลังสินค้าทั่วไป และด้วยทำเลที่ตั้งของทรัพย์สินอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น ถนนบางนา-ตราด, พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งพื้นที่บริเวณตอนเหนือและตะวันตกของกรุงเทพฯ ช่วยให้อัตราการเช่าเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 90% ทำให้กองทรัสต์สามารถสร้างกระแสเงินสดและจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ผู้เช่าของกองทรัสต์ยังกระจายตัวอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น e-Commerce, FMCG และ 3PL ด้วยผู้เช่า ได้แก่ DKSH, Alibaba, Shopee, Unilever, ไทวัสดุ และ Starbucks เป็นต้น
การลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้ WHART จะเพิ่มทุนด้วยการเสนอขายหน่วยทรัสต์ออกใหม่แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมและประชาชนทั่วไป และประมาณการอัตราเงินปันผลที่ 8.23%* (ขึ้นอยู่กับราคาเสนอขายสุดท้าย)
นักลงทุนรายย่อยที่สนใจการเพิ่มทุนครั้งนี้ สามารถจองซื้อได้ในช่วงเวลาและช่องทาง ดังนี้
ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อ:
- ช่วงเวลาจองซื้อ: วันที่ 1, 4 และ 6-8 ธันวาคม 2566
- ช่องทางการจองซื้อ: เว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) และสาขาของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร 02 888 8888 กด 4 กด 0
ประชาชนทั่วไป:
- ช่วงเวลาจองซื้อ: วันที่ 13-15 และ 18 ธันวาคม 2566
- ช่องทางการจองซื้อ: ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่: www.sec.or.th หรือ www.whareit.com
หมายเหตุ:
- การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่าย เงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน
- ผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ขอสงวนสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมในกรณีที่ผู้จองซื้อเป็นสัญชาติอื่นใดที่มิใช่สัญชาติไทย อย่างไรก็ดี รายชื่อสัญชาติของผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่ไม่ได้รับการเสนอขายหน่วยทรัสต์ จะถูกประกาศผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก่อนวันจองซื้อหน่วยทรัสต์
- ผู้ถือหน่วยเดิมที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์ ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2566
- ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมจองซื้อที่ราคาเสนอขายสูงสุดที่ 9.60 บาทต่อหน่วย และประชาชนทั่วไปจองซื้อที่ราคาเสนอขายสุดท้ายที่จะมีการประกาศในวันที่ 12 ธันวาคม 2566 ทั้งนี้ หากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาเสนอขายสูงสุดจะมีการคืนเงินส่วนต่าง
คำเตือน: ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
*อ้างอิงประมาณการผลตอบแทนของกองทรัสต์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ตามที่ได้ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน บนสมมติฐานราคาเสนอขายสูงสุดไม่เกิน 9.60 บาทต่อหน่วย