×

Wellness Economy: เมื่อสุขภาพคือการลงทุนที่ดีที่สุด

20.11.2025
  • LOADING...
Wellness Economy: เมื่อสุขภาพคือการลงทุนที่ดีที่สุด

ถ้าเราบอกว่าการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดคุ้มค่าที่สุดในโลกยุคใหม่ ไม่ใช่หุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ไม่ใช่ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์… แต่เป็น ‘ตัวคุณเอง’ แล้วคุณคิดว่าอย่างไร?

 

ทุกวันนี้โลกกำลังเคลื่อนไปสู่เมกะเทรนด์ใหม่ที่เรียกว่า ‘Wellness Economy’ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งกาย ใจ และคุณภาพชีวิต ที่เติบโตอย่างโดดเด่น รายงาน Future of Wellness 2025 โดย Global Wellness Summit และ McKinsey ชี้ว่า อุตสาหกรรมเวลเนสกำลังแบ่งออกเป็นสองแนวโน้มหลัก ทั้ง Hardcore (เวลเนสเชิงเทคโนโลยี เช่น AI-driven wellness และ Augmented Biology) และ Softcare (เวลเนสเชิงจิตใจและสังคม เช่น การใช้ชีวิตแบบ low-tech และการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ) ที่เติบโตควบคู่กันเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่ม Millennials และ Gen Z ที่ผลักดันให้เวลเนสกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน พร้อมกับความต้องการที่เติบโตรวดเร็วใน 5 ด้าน ได้แก่ สุขภาพจิต การนอนหลับ โภชนาการเฉพาะบุคคล ความงาม และการจัดการน้ำหนักอย่างยั่งยืน

 

นี่ไม่ใช่เพียงเทรนด์ชั่วคราว แต่คือทิศทางใหม่ของโลกที่สะท้อนว่า ‘สุขภาพ’ กำลังกลายเป็นการลงทุนระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด

 

จากไลฟ์สไตล์สู่การลงทุนในสุขภาพ

 

ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จากเดิมที่เวลเนสเป็นเพียง ‘ไลฟ์สไตล์ทันสมัย’ สู่การเป็น ‘ยุทธศาสตร์ชีวิต’ ที่ช่วยสร้างความมั่นคงระยะยาว ทั้งเพื่อเพิ่มพลังในการทำงาน การได้ใช้เวลากับครอบครัว และได้ทำสิ่งที่รักได้อย่างเต็มที่

 

สำหรับประเทศไทย จุดแข็งของเราคือ การผสมผสานระหว่างธรรมชาติ การแพทย์แผนไทย วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ทำให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจมาลงทุนในสุขภาพที่นี่มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเอเชียแปซิฟิก (รวมถึงจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) เป็นภูมิภาคที่คาดว่าจะเติบโตเร็วที่สุดในตลาดเวลเนสโลก ซึ่งสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศไทยที่มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและความงามของภูมิภาค

 

นอกจากภาคธุรกิจจะเติบโตแล้ว กระแสเวลเนสยังสะท้อนถึงการตื่นตัวของผู้บริโภคที่มองสุขภาพในเชิง ‘คุณค่า’ มากกว่า ‘ค่าใช้จ่าย’ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การนอนหลับอย่างมีคุณภาพ การตรวจสุขภาพประจำปี หรือการดูแลสุขภาพจิต ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนเพื่อชีวิตที่ยั่งยืน

 

เหตุผลเบื้องหลังกระแส Wellness

 

เหตุผลที่เราต้องเปลี่ยนมุมมองมาเป็น ‘นักลงทุนด้านสุขภาพ’ นั้น ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อพิจารณาถึง ‘เงินเฟ้อทางการแพทย์’ (Medical Inflation) หรือภาวะที่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉลี่ยสูงกว่าระดับเงินเฟ้อทั่วไป และอาจส่งผลกระทบต่อแผนการเงินและคุณภาพชีวิตในระยะยาว หากไม่มีการเตรียมพร้อมรับมืออย่างเหมาะสม

 

นี่คือความเสี่ยงที่มักถูกมองข้ามในพอร์ตการเงินของเรา เพราะค่ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นทุกปี ข้อมูลจากรายงาน Global Medical Trends Survey 2025 ของ Willis Towers Watson (WTW) ซึ่งเป็นรายงานสำรวจแนวโน้มค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ทั่วโลกที่เผยแพร่เป็นประจำทุกปี และเป็นแหล่งข้อมูลหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์อัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ของประเทศไทย ระบุว่า ประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์หรือค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 15% ในปี 2024 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกและสูงกว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกบางประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการวางแผนสุขภาพอย่างจริงจัง

 

อายุยืนขึ้น ไม่เท่ากับสุขภาพแข็งแรงขึ้น

 

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO)⁴ ชี้ว่า อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ราว 77–78 ปี และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่น่าคิดคือ ในจำนวนปีที่เพิ่มขึ้นนั้น มีเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นที่เป็น ‘ช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดีจริงๆ’ ช่วงเวลาที่เหลืออาจต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสุขภาพ เช่น โรคเรื้อรังหรือภาวะที่สะสมมาเป็นเวลานานนี่คือ ‘ช่องว่างระหว่างอายุขัยกับสุขภาพที่ดี’ ที่สำคัญของสังคมไทย เรามีชีวิตยาวนานขึ้น นั่นไม่ได้หมายความว่าจะมีชีวิตที่แข็งแรงขึ้น การลงทุนในสุขภาพตั้งแต่วันนี้จึงเป็นมากกว่าการยืดอายุที่ยืนยาว โดยมุ่งเน้นที่การทำให้ทุกปีในชีวิตเป็นปีที่มีคุณภาพ เต็มไปด้วยพลัง และความสุขที่แท้จริง

 

จาก ‘การรักษา’ สู่ ‘การป้องกัน’ บทบาทใหม่ของประกันชีวิต ในยุค Wellness Economy

 

หากย้อนกลับไป 10 ปี ประกันชีวิตมักถูกมองว่าเป็น ‘เงินก้อนที่รอใช้ยามเจ็บป่วย’ แต่ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปแล้ว ธุรกิจประกันชีวิตกำลังกลายเป็น ‘พันธมิตรด้านสุขภาพ’ ที่ช่วยดูแลลูกค้าตั้งแต่ต้น เพราะ ‘การป้องกัน’ ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากว่าการรักษา ทั้งต่อผู้บริโภคและบริษัทประกัน

 

แนวโน้มของอุตสาหกรรมประกันชีวิตในยุค Wellness Economy จึงมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีและบริการสุขภาพเข้ามาผสานกับผลิตภัณฑ์มากขึ้น เช่น

 

  • HealthTech: การใช้เทคโนโลยีติดตามสุขภาพแบบเรียลไทม์ผ่านแอปหรืออุปกรณ์สวมใส่ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจพฤติกรรมสุขภาพของตนเองและปรับเปลี่ยนได้ตรงจุด
  • Preventive Care: การตรวจสุขภาพประจำปี การฉีดวัคซีน หรือการให้คำปรึกษาเรื่องโภชนาการ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคในระยะยาว
  • Wellness Program: โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพทั้งกายและใจ ผ่านกิจกรรมการออกกำลังกาย การดูแลโภชนาการ และการจัดการความเครียด เพื่อสร้างวินัยและแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

 

Wellness Economy: เมื่อสุขภาพคือการลงทุนที่ดีที่สุด 1

 

สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า จากเดิมที่บริษัทประกันชีวิตเน้น ‘จ่ายเงินเมื่อป่วย’ สู่การ ‘ช่วยให้ลูกค้าไม่ป่วย’ เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่ยืนยาว แข็งแรง และมีคุณภาพมากที่สุด

 

กรณีศึกษา: ผลต่างที่ชัดเจนของการลงทุนในสุขภาพ

 

สมมติลองเปรียบเทียบระหว่างคนสองคนที่อายุเท่ากันในวัย 35 ปี คนแรกซื้อประกันสุขภาพทั่วไป จ่ายเบี้ยปีละ 30,000 บาท ใช้ชีวิตตามปกติ เมื่ออายุ 45 ปี ตรวจพบโรคเบาหวานและความดันสูง ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมค่าใช้จ่ายในช่วง 5 ปีแรกประมาณ 500,000 บาท ขณะที่อีกคนเลือกประกันแบบ Wellness จ่ายเพิ่มเพียง 5,000 บาทต่อปี (35,000 บาท) แล้วใช้แอปติดตามสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เมื่ออายุ 45 ปี สุขภาพยังแข็งแรง และได้รับส่วนลดเบี้ยประกัน 15%

 

ผลใน 10 ปีอาจเห็นความต่างอย่างชัด คือ คนที่ดูแลสุขภาพเชิงรุกมีค่าใช้จ่ายรวมต่ำกว่าและยังได้สุขภาพที่ดีกว่า นี่คือภาพสะท้อนของการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนทั้งทางการเงินและคุณภาพชีวิต

 

ผลตอบแทนสองมิติของการลงทุนในสุขภาพ

 

  • ผลตอบแทนที่จับต้องได้ (Tangible Return): ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว เก็บออมได้มากขึ้น และไม่ต้องดึงเงินออมมาใช้ยามเจ็บป่วย

 

  • ผลตอบแทนที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Return): คือ พลังในการทำงาน ความสัมพันธ์ที่ดี และความสุขในการใช้ชีวิตทุกวัน

 

หากคุณยังคิดว่าประกันชีวิตคือ ‘เงินที่จ่ายไปโดยไม่เห็นผลตอบแทน’ อาจถึงเวลาคิดใหม่ เพราะประกันยุค Wellness ได้เปลี่ยนสมการเดิม

 

  • จาก ‘จ่ายเบี้ย → รอให้ป่วย → ได้เงินคืน’
  • เป็น ‘จ่ายเบี้ย → ดูแลสุขภาพทุกวัน → ไม่ป่วย → มีคุณภาพชีวิตดี + ประหยัดค่าใช้จ่าย’

 

การตัดสินใจเล็กๆ วันนี้ เช่น เพิ่มการลงทุนด้านสุขภาพ 10 – 20% หรือเลือกแผนที่สนับสนุนการป้องกัน อาจกำหนดคุณภาพชีวิตของคุณในอีก 20 – 30 ปีข้างหน้า
การลงทุนในสุขภาพตั้งแต่วันนี้ นอกจากจะเป็นการป้องกันโรค ยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในชีวิต

 

สุดท้ายแล้ว…สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตของคุณ ก็คือ ‘ตัวคุณ’ นั่นเอง

 

ภาพ: C.J. Burton/Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising