ทุกปี ผู้นำจากทั่วโลกทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และนักคิดชั้นนำจะมารวมตัวกันที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อเข้าร่วมงาน World Economic Forum (WEF) ซึ่งเป็นเวทีสำคัญระดับโลกในการกำหนดแนวทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสังคมของอนาคต งาน WEF 2025 ไม่เพียงแต่เป็นจุดศูนย์กลางของการเจรจานโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นพื้นที่เชื่อมโยงเครือข่ายของนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้กำหนดนโยบายที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลก
ในปีนี้ งาน WEF 2025 มีบุคคลสำคัญมากมายเข้าร่วมไม่ว่าจะเป็นผู้นำระดับประเทศอย่าง อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป และผู้แทนจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและ ติงเสวี่ยเซียง รองนายกรัฐมนตรีจีน
นอกจากนี้ยังมีนักธุรกิจแถวหน้าจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่มากมายมาร่วมถกประเด็นเกี่ยวกับอนาคตของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลก โดยมีหัวข้อหลักเกี่ยวกับยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ และแนวโน้มเศรษฐกิจสีเขียว
โดยธีมหลักของ WEF 2025 คือ ‘Collaboration for the Intelligent Age’ เป็นการเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบของ AI ต่อระบบเศรษฐกิจ ความซับซ้อนของภูมิรัฐศาสตร์ และการผลักดันเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่เทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดอนาคตของโลกธุรกิจและสังคม ที่เรียกร้องให้ทุกๆ คนหันมาร่วมมือกันอย่างแท้จริง กันเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลง
โลกธุรกิจยุคใหม่และปัจจัยขับเคลื่อนและแนวโน้มสำคัญที่ต้องจับตา
ในยุคของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ธุรกิจทั่วโลกต่างต้องเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อนมากขึ้น จากการประชุมระดับโลกที่เพิ่งผ่านมา มีประเด็นสำคัญหลายอย่างที่สามารถชี้แนวทางให้ธุรกิจสามารถเตรียมตัวและปรับตัวเพื่อก้าวให้ทันโลกยุคใหม่ได้
1. นวัตกรรมและ AI: ตัวเร่งปฏิกิริยาทางเศรษฐกิจ
หนึ่งในหัวข้อหลักที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคืออิทธิพลของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ไม่เพียงแต่เป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรม แต่ยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงงานและรูปแบบการดำเนินธุรกิจ AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิด แต่กำลังถูกนำไปใช้จริงในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การค้าปลีก การเงิน หรือแม้แต่ภาครัฐ โดยเฉพาะ AI เชิงปฏิบัติ (Practical AI) ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและสร้างโอกาสใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ Generative AI ยังได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากมีศักยภาพในการสร้างคอนเทนต์ การวิเคราะห์ข้อมูล และการปรับแต่งบริการให้เหมาะสมกับลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
2. ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก: ผลกระทบจากนโยบายของมหาอำนาจ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ และจีน ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก นโยบายกีดกันทางการค้าและภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนของภาคธุรกิจ
จากการประชุมระดับโลก มีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการส่งเสริมการค้าและการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน หลายประเทศพยายามลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานจากประเทศคู่แข่ง และมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในพลังงานสะอาดและการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว
นอกจากนี้อีกหนึ่งประเด็นสำคัญก็คือ การที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมามีบทบาททางการเมืองอีกครั้ง นโยบาย ‘America First’ อาจส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ ซึ่งหมายถึงมาตรการกีดกันทางการค้า การขึ้นภาษีนำเข้า และการลดบทบาทของสหรัฐฯ ในความร่วมมือระดับโลก ประเทศต่างๆ ต้องวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และสร้างเครือข่ายการค้าทางเลือกที่มีความยั่งยืนมากขึ้นอีกด้วย
3. AI และการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานและทักษะแห่งอนาคต
เทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสทางธุรกิจ แต่ยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานอย่างมีนัยสำคัญ งานบางประเภทอาจลดลง ในขณะที่ตำแหน่งงานที่ต้องการทักษะด้านดิจิทัลและ AI จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
องค์กรที่ต้องการความสามารถในการแข่งขันจำเป็นต้องลงทุนในด้านการพัฒนาทักษะแรงงาน (Reskilling & Upskilling) โดยเฉพาะทักษะด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และการคิดเชิงวิเคราะห์ ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแรงงานในยุคใหม่ที่ต้องสามารถทำงานร่วมกับ AI และระบบอัตโนมัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่เพียงแค่แนวคิดอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจได้จริง ธุรกิจหลายแห่งเริ่มนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สร้างนวัตกรรมใหม่ และปรับแต่งบริการให้ตรงกับลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะ Generative AI ที่สามารถสร้างเนื้อหา วิเคราะห์ข้อมูล และช่วยให้ธุรกิจพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ตลาดได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตาม การกำกับดูแล AI และการบริหารจัดการความเสี่ยงทางจริยธรรมยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม
4. ความยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว
อีกหนึ่งหัวข้อที่ได้รับการเน้นย้ำอย่างมากคือความจำเป็นในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและผู้บริโภคมากขึ้น
การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวไม่ใช่เพียงแค่แนวโน้ม แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันขององค์กร บริษัทที่สามารถผสานความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจได้จะมีโอกาสสูงในการได้รับความเชื่อถือจากตลาดและนักลงทุน
การปรับตัวคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
จากการประชุม WEF 2025 มีข้อสังเกตสำคัญที่ผู้นำธุรกิจและรัฐบาลควรให้ความสนใจ ได้แก่
- AI เป็นเครื่องมือแห่งอนาคต บริษัทที่สามารถปรับตัวใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพจะสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้
- ภูมิรัฐศาสตร์มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระดับโลกจะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานและตลาดแรงงาน
- เศรษฐกิจสีเขียวเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่แค่กระแส องค์กรที่ลงทุนในโซลูชันที่ยั่งยืนจะได้รับการสนับสนุนมากขึ้นจากภาครัฐและภาคเอกชน
กล่าวคือโลกธุรกิจในปัจจุบันกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่สามารถคาดการณ์ได้ องค์กรที่สามารถปรับตัวให้ทันต่อแนวโน้มเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ การรับมือกับความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ การพัฒนาทักษะแรงงาน และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน จะเป็นองค์กรที่สามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมั่นคง
ดังนั้นการเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ และก้าวไปสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนได้อย่างแน่นอน
🚀 ชมคลิปเต็มที่: สรุปเทรนด์โลกจากดาวอส 2025 Trump คนเดียวเสียวทั้งโลก | The Secret Sauce EP.829