ล่าสุดที่ประชุมบอร์ด บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) ได้มีมติอนุมัติแนวทางให้ฝ่ายบริหารไปดำเนินการเจรจาสัญญาสัมปทาน Duty Free กับ ‘คิงเพาเวอร์’ ซึ่งเริ่มการเจรจาในช่วงสัปดาห์หน้า โดยยึดมั่นในผลประโยชน์สูงสุดของ AOT
ปวีณา จริยฐิติพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT กับ THE STANDARD WEALTH ระบุว่า การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ของ AOT เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบเลือกแนวทางให้ฝ่ายบริหารของ AOT เพื่อไปเจรจาเกี่ยวกับสัญญาดิวตี้ฟรีจำนวน 3 สัญญา กับ บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด
โดยการตัดสินใจครั้งนี้ โดยยืนยันว่าการเลือกเส้นทางเจรจาถือเป็นทิศทางที่เป็นบวก และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อ AOT โดยเฉพาะในแง่ของผลประโยชน์ของบริษัท
ที่มาของปัญหาและการตัดสินใจของบอร์ด
ปวีณาเปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจากการที่คิงเพาเวอร์ ได้ทำหนังสือเสนอขอเจรจา แม้ว่าหัวหนังสือจะระบุว่า ‘ขอเจรจายกเลิกสัญญาสัมปทาน’ แต่ AOT ได้พิจารณาเนื้อหาโดยละเอียด และได้ทำการศึกษาว่า 7 ข้อที่ระบุในจดหมายนั้นมีส่วนใดที่ไม่ยุติธรรมหรือเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการอย่างไร
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้คณะกรรมการ AOT ได้แต่งตั้งให้ที่ปรึกษา 2 ราย คือ มหาวิทยาลัยมหิดล และ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อทำการศึกษาผลกระทบ ซึ่งผลการศึกษานำเสนอแยกแยะว่าระหว่างการยกเลิกสัญญา กับการเจรจาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายบางอย่าง รูปแบบใดจะเป็นประโยชน์ต่อ AOT มากกว่ากัน
ดังนั้นบอร์ด AOT จึงมีมติเลือกแนวทางให้ไปเจรจา ซึ่งเป็นแนวทางที่จะไม่นำไปสู่การยกเลิกสัญญา
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดและแนวทางการเจรจายังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ เนื่องจากเป็นความลับและอาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของ AOT
ปวีณาเน้นย้ำว่า หากการเจรจาประสบความสำเร็จ ข้อสรุปที่ออกมาจะอยู่ในรูปแบบของการไม่ยกเลิกสัญญาและอาจมีการแก้ไขสัญญา แต่หากการเจรจาไม่สำเร็จ ก็จะกลับไปสู่การยกเลิกสัญญา
เหตุผลหลีกเลี่ยงการขาดรายได้ หวั่นผลกระทบหุ้น AOT
โดยการตัดสินใจของบอร์ดที่ให้เจรจาก่อนการยกเลิกนั้นพิจารณาจากผลประโยชน์ของบริษัทเป็นสำคัญ โดยมีเหตุผลหลักที่ต้องหลีกเลี่ยงการยกเลิกทันทีดังนี้
- หากยกเลิกสัญญา AOT จะขาดรายได้ทันที
- หากไม่มีผู้ค้า Duty Free พื้นที่ในสนามบินจะขาดกิจกรรมร้านค้าในสนามบิน
- การหาผู้ประกอบการรายใหม่และการเปิดประมูลไม่ได้เกิดขึ้นภายใน 1 เดือน โดยบอร์ด AOT ได้เปรียบเทียบความเสียหายระหว่างเคสที่ยกเลิกสัญญา ทำให้รายได้ช่วงเปลี่ยนผ่านหายไป กับเคสที่ให้สัญญาสัมปทานดำเนินต่อไป เพื่อดูว่ากรณีใดเป็นประโยชน์ต่อ AOT มากกว่า
- จากการสำรวจความเห็นนักลงทุนเองก็ไม่ต้องการให้ยกเลิกสัญญา เนื่องจากทราบดีว่าราคาหุ้นอาจลดลงและรายได้จะหายไป AOT มองว่าการเลือกแนวทางการเจรจาถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อตลาด

ปวีณา จริยฐิติพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT
ประมาณการความเสียหายหากต้องยกเลิกสัญญา
AOT ตระหนักถึงความเสี่ยงของการยกเลิกสัญญา เนื่องจากการจัดหาผู้ประกอบการรายใหม่ต้องใช้เวลานานมาก
ปวีณายกตัวอย่างว่า หากเป็นสัญญาพื้นที่เล็ก ๆ อย่างร้านกาแฟ 1 บล็อก ในสนามบินดอนเมือง จะใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือนในการประมูล และเมื่อรวมระยะเวลาการตอบรับ วางเงินประกัน ส่งแบบ และก่อสร้าง ประมาณอีก 90 วัน จะรวมเป็นเวลาประมาณ 11-12 เดือน
สำหรับสัญญาสัมปทานขนาดใหญ่ของคิงเพาเวอร์ ฝ่ายบริหารประเมินว่าอาจใช้เวลาถึง 18 เดือนกว่าจะจัดหาผู้ประกอบการใหม่ได้ แต่จากการประเมินแบบเร่งรัดสุดขีดของที่ปรึกษา คาดว่าช่วงเวลาที่ AOT จะเสียรายได้ไปคือประมาณ 14 เดือน
โดยจะส่งผลรายได้ที่หายไปนี้จากสัญญาสัมปทาน Duty Free ของคิงเพาเวอร์
มีสัดส่วนประมาณ 7% ของรายได้รวมของ AOT ถือเป็นระยะเวลาเกือบปีครึ่ง และหากระยะเวลาการขาดรายได้ไปตรงกับช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันที่ AOT มีรายได้ส่วนใหญ่ ก็จะยิ่งส่งผลกระทบอย่างหนัก
แนวทางการเจรจาที่ยึดผลประโยชน์ AOT เป็นที่ตั้ง
AOT ได้เตรียมการสำหรับเงื่อนไขการเจรจาใหม่ภายในเรียบร้อยแล้ว การเจรจาจะเริ่มต้นในสัปดาห์หน้า โดยแนวทางในการเจรจามาจากข้อเสนอของที่ปรึกษาทั้ง 2 รายที่ AOT เลือกข้อเสนอที่ให้ประโยชน์และมีรายได้สูงสุดแก่ AOT แม้ว่าเงื่อนไขที่เตรียมไปนี้จะไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ เนื่องจากยังเป็นข้อมูลความลับรายละเอียดที่ต้องนำไปเจรจากับคิงเพาเวอร์
ทั้งนี้ AOT จะตั้งคณะกรรมการเจรจาเพื่อประสานงานกับคิงเพาเวอร์ เพื่อกำหนดวันเจรจาในช่วงสัปดาห์หน้า โดยทีมที่เข้าร่วมเจรจาจะเป็นทีมระดับบริหารของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ระดับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO โดยในระหว่างที่รอการเจรจาคิงเพาเวอร์ ยังคงจ่ายค่าตอบแทนตามปกติ
ปวีณาย้ำว่าการเจรจาครั้งนี้เป็นการเจรจาแบบมืออาชีพ และดำเนินการด้วยเหตุผล โดยยึดมั่นในผลประโยชน์สูงสุดของ AOT


