×

หุ้น BWG พุ่งแรง นักลงทุนคาดหวังธุรกิจเทิร์นอะราวด์ โบรกเกอร์เตือนความเสี่ยงยังสูง ด้าน ตลท. จับขังมาตรการกำกับระดับ 2

27.12.2021
  • LOADING...
หุ้น BWG

หุ้น บมจ.เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน (BWG) กลายเป็นหุ้นที่ร้อนแรงตลอดช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากความคาดหวังว่าบริษัทจะพลิกกลับมาเทิร์นอะราวด์ในปีหน้า ซึ่งมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ โดย ‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ขายหุ้นออกมาบางส่วน ในขณะที่โบรกเกอร์เตือนให้เพิ่มความระมัดระวัง หากธุรกิจไม่เป็นไปตามการคาดหวัง

 

แต่ไม่เฉพาะหุ้น BWG ที่ร้อนแรงเท่านั้น เพราะหุ้นบริษัทลูกอีก 2 แห่ง คือ บมจ.เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ (ETC) และ บมจ.อัคคีปราการ (AKP) ก็ปรับตัวขึ้นร้อนแรงไม่แพ้กันในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

 

หากจะทำความรู้จักในด้านของธุรกิจแล้ว BWG คือผู้ให้บริการบริหารและจัดการสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ปรับคุณภาพและฝังกลบสิ่งปฏิกูลที่เป็นอันตราย บำบัดน้ำเสีย และปรับปรุงคุณภาพสิ่งปฏิกูล เพื่อเป็นเชื้อเพลิงทดแทนและวัตถุดิบทดแทน

 

ขณะที่บริษัทลูก ETC ประกอบธุรกิจหลัก ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวมทั้งธุรกิจให้บริการด้านการออกแบบวิศวกรรมโรงไฟฟ้า การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์โรงไฟฟ้า และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแบบครบวงจร โดย BWG ถือหุ้นอยู่ในบริษัทนี้ 43.93%

 

ส่วนบริษัทลูกอีกแห่ง คือ AKP ได้รับสิทธิ์เข้าบริหารและประกอบการศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตสาหกรรม (เตาเผาขยะอุตสาหกรรม) บางปู จังหวัดสมุทรปราการ จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นเวลา 20 ปี (สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2571 และมีสิทธิ์ขอให้ต่ออายุสัญญาได้อีก 10 ปี) โดย BWG ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 51.18%

 

แต่ถ้าเจาะลึกด้านความเคลื่อนไหวของหุ้นแม่-ลูกกลุ่มนี้ จะพบว่าราคาเริ่มขยับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีการดันราคา BWG จาก 0.71 บาท มายืนที่ 0.82 บาท ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นจากหลักสิบล้านบาทเป็น 520 ล้านบาทได้ในขณะนั้น

 

ส่วนหุ้นลูก ETC ราคาขยับจาก 2.66 บาท ไปทำจุดสูงสุดที่ 2.96 บาท แม้จะมีการย่อตัวลงมาบ้างแต่ก็ไม่เคยต่ำกว่า 2.80 บาทเลย ส่วน AKP ราคาหุ้นก็ไม่น้อยหน้าหุ้นแม่ เพราะสามารถปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ 2.38 บาทได้ แม้จะมีการย่อตัวลงเล็กน้อยมายืนที่ 2.36 ก็ตาม

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม ราคาหุ้นแม่-ลูกกลุ่มนี้ได้เริ่มกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง โดยราคาหุ้น BWG ปรับตัวสูงขึ้นทะลุ 1 บาท มาที่ 1.01 บาท มีมูลค่าการซื้อขายบวมขึ้นถึง 830 ล้านบาท (7 ธันวาคม) รวมทั้งยังเดินหน้าสร้างจุดสูงสุดระหว่างวันครั้งใหม่ที่ 1.31 บาท (15 ธันวาคม) และแม้ราคาหุ้นจะอ่อนตัวลงบ้างแต่ยังสามารถยืนได้ที่ 1.24 บาท

 

ในทิศทางเดียวกัน หุ้น ETC ราคาหุ้นขยับจาก 2 บาทปลายๆ ทะลุขึ้นไปทำจุดสูงสุด 3.50 บาท ส่วนหุ้น AKP ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดระหว่างวันได้ 2.74 บาท ก่อนจะปรับลดลงมาบ้างยืนอยู่แถว 2 บาทกลางๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

โดยการซื้อขายล่าสุดวันที่ 27 ธันวาคม ราคาหุ้น BWG ปิดที่ 1.25 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 1.63% มูลค่าการซื้อขายรวม 95.88 ล้านบาท ส่วนหุ้น ETC ปิดตลาดที่ 3.02 บาท ลดลงจากวันก่อนหน้า 0.66% ขณะที่หุ้น AKP ปิดตลาดที่ 2.28 บาท ลดลง 0.87% 

 

หุ้น BWG ถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้มาตรการกำกับการซื้อขายเข้มงวดระดับ 2 คือ ห้ามสมาชิกใช้หลักทรัพย์เป็นหลักประกันในการคำนวณเป็นวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ในทุกประเภทบัญชี และสมาชิกต้องดำเนินการให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์ด้วยบัญชี Cash Balance เท่านั้น

 

โดยลูกค้าต้องวางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนก่อนซื้อหลักทรัพย์ มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2564 – 21 มกราคม 2565 ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรการให้เข้มข้นขึ้นภายหลังถูกจับขังด้วยมาตรการระดับ 1 คือ ต้องซื้อหุ้นด้วยบัญชี Cash Balance ได้เพียง 2 วัน

 

ศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ราคาหุ้น BWG ปรับตัวในทิศทางขาขึ้น เนื่องจากมีโบรกเกอร์บางค่ายออกบทวิเคราะห์ประเมินว่าบริษัทจะเทิร์นอะราวด์ โดยพลิกกลับมามีกำไรในปีหน้า รวมถึงแนวโน้มที่ดีขึ้นของ 2 บริษัทลูกด้วย

 

ทั้งนี้ จากการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิในปี 2562 ที่ 20.63 ล้านบาท และขาดทุนเพิ่มมากขึ้นเป็น 180.62 ล้านบาท ในปี 2563 ขณะที่ 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนลดลงเหลือเพียง 59.65 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ภายหลัง ‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ได้รายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า ได้ขายหุ้นคิดเป็นสัดส่วน 0.5493 % ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ทำให้จำนวนหุ้นคงเหลือภายหลังการขายออกที่ 4.4949% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

 

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นตัวนี้ยังอยู่บนความคาดหวังเหตุการณ์ในอนาคตว่าจะส่งผลบวกต่อบริษัท จึงมีความเสี่ยงว่าอาจจะไม่เป็นไปตามคาดได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าไปเล่นเก็งกำไร

 

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า นักลงทุนคาดหวังการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ หรือการมีพันธมิตรใหม่ หรือการเทคโอเวอร์ BWG ภายหลัง ‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ขายหุ้นออกมาบางส่วน ดังนั้น การลงทุนในหุ้นตัวนี้ นักลงทุนจึงต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด

 

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มีนาคม 2564 BWG มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 อันดับแรก ประกอบด้วย

        

  1. โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ จำนวน  242,286,900 หุ้น คิดเป็น 5.84%
  2. สุวัฒน์ เหลืองวิริยะ จำนวน 183,150,000 หุ้น คิดเป็น 4.41%
  3. ปภัชญา อุ่นอนันต์ จำนวน 120,000,000 หุ้น คิดเป็น 2.89 %
  4. CREDIT SUISSE AG SINGAPORE BRANCH จำนวน 88,000,000 หุ้น คิดเป็น 2.12%
  5. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด จำนวน 74,344,500 หุ้น คิดเป็น 1.79%
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising