ถึงแม้จะเริ่มต้นฤดูกาลได้ดีพอสมควร แต่ดูเหมือนลิเวอร์พูลยังคงมีปัญหาในบางตำแหน่งที่ทำให้ทีมยังไม่สามารถรักษามาตรฐานผลงานการเล่นในระดับสูงสุดเหมือนช่วง 3-4 ฤดูกาลก่อนที่บดบี้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในการไล่ล่าตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกได้
หนึ่งในจุดที่เป็นปัญหาคือตำแหน่งกองกลางตัวรับในสไตล์ ‘หมายเลข 6’ ที่ยังมีเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่อยู่
โดยเฉพาะกับการที่ เจอร์เกน คล็อปป์ ตัดสินใจที่จะใช้งาน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ กองกลางเชิงสูงชาวอาร์เจนตินามายืนรับหน้าที่นี้แทนที่ของฟาบินโญและ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่อำลาทีมไปในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
แม้จะมีหลายเกมที่กองกลางคู่บุญของ ลิโอเนล เมสซี จะแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเอาตัวรอดได้ในตำแหน่งนี้ แต่มันเริ่มมีสัญญาณให้เห็นว่าคำว่า ‘เล่นได้’ กับ ‘เล่นดี’ ไม่เหมือนกัน
แฟนลิเวอร์พูลจำนวนไม่น้อยมองว่าการจับ แม็ค อัลลิสเตอร์ มายืนในตำแหน่งนี้เป็นการเสียของ และดูเหมือนจะกำลังทำลายความมั่นใจของนักเตะรายนี้มากขึ้น จึงเรียกร้องให้ทีมเร่งรีบในการมองหากองกลางตัวรับแท้ๆ เข้าสู่ทีมในช่วงตลาดการซื้อขายรอบฤดูหนาว ซึ่งมีผู้เล่นระดับดาวลีกบราซิลอย่างอังเดรที่มีโอกาสคว้าตัวมาร่วมทีมสูง (แต่ล่าสุดมีรายงานว่าฟูแลมเป็นตัวเต็งที่จะได้ตัวไป)
หันมามองที่ม้านั่งข้างสนามของลิเวอร์พูลยังมี วาตารุ เอ็นโดะ ซึ่งเป็นกองกลางตัวรับแท้ๆ ที่ถูกดึงตัวมาร่วมทีมแบบเซอร์ไพรส์
จริงอยู่ที่ไม่มีใครคาดหวังมากนักกับกัปตันทีมชาติญี่ปุ่น แต่มันก็อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่าคล็อปป์คิดจะให้โอกาส ‘คนต้นทุนน้อย’ อย่างเอ็นโดะได้พิสูจน์ตัวเองมากและถี่ขึ้นกว่านี้หรือไม่
และคำถามต่อมาคือดาวเตะซามูไรดีพอที่จะช่วงชิงตำแหน่งตัวจริงในบทกองกลางตัวรับหรือเปล่า
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนที่จะเปิดฤดูกาล หนึ่งในการซื้อขายที่เซอร์ไพรส์ผู้คนมากที่สุดคือการที่ลิเวอร์พูลไปคว้าตัว วาตารุ เอ็นโดะ กองกลางดีกรีกัปตันทีมชาติญี่ปุ่นและกัปตันทีมเฟาเอฟเบ สตุ๊ทการ์ต มาร่วมทีม
การได้ตัวเอ็นโดะมานั้นถือว่าเป็นการใช้ ‘ทางออกฉุกเฉิน’ สำหรับทีม Recruitment ของลิเวอร์พูลที่นำมาโดย ยอร์ก ชมัดท์เค ผู้อำนวยการสโมสรที่เข้ามารับตำแหน่งเป็นการชั่วคราวแทนที่ของ จูเลียน วอร์ด ที่อำลาสโมสรไปหลังรับช่วงต่อจาก ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้อำนวยการสโมสรคนเก่าผู้โด่งดังได้แค่ปีเดียว
เอ็นโดะเป็นตัวเลือกที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย ทั้งเรื่องของสไตล์ไปจนถึงอายุที่มากถึง 30 ปี ซึ่งปกติลิเวอร์พูลจะไม่เซ็นสัญญากับผู้เล่นที่มีอายุมากขนาดนี้ แต่ในอีกแง่หนึ่งไม่ใช่ตัวเลือกที่เลวร้ายนักเพราะผลงานถือว่าใช้ได้ในบุนเดสลีกา อยู่ในหูในตาของชมัดท์เคที่คลุกคลีวงการฟุตบอลเยอรมันมาตลอด
อีกทั้งค่าตัวในการย้ายทีมแค่ 12 ล้านปอนด์ โดยที่ผู้เล่นเองเมื่อทราบข่าวว่าลิเวอร์พูลสนใจก็ตัดสินใจย้ายทีมทันทีโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
แต่ปัญหาสำหรับเอ็นโดะก็ไม่ต่างอะไรจากนักเตะเอเชียในสโมสรใหญ่
การพิสูจน์ตัวเองไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ลำพังเรื่องของสไตล์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่รวดเร็วดุดันจนแทบไม่มีเวลาหายใจหายคอก็สร้างปัญหาให้นักเตะระดับท็อปของโลกมาแล้วมากมาย ไม่ใช่ทุกคนที่จะปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้รวดเร็ว
เอ็นโดะมีปัญหากับความเร็วของเกมฟุตบอลอังกฤษและสไตล์ของลิเวอร์พูลค่อนข้างชัด ด้วยความที่เป็นนักฟุตบอลรูปร่างเล็กและไม่ได้มีสปีดความเร็วจัดจ้านอะไร การปรับจูนจังหวะการเล่นของตัวเองให้เข้ากับสโมสรใหม่เป็นเรื่องที่ยากไม่น้อย
ไม่นับเรื่องของ ‘ทัศนคติ’ ในแบบคนญี่ปุ่นที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คล็อปป์ไม่ชอบเท่าไรนัก กับการเป็นคน ‘ดีเกินไป’ (Too Nice) ซึ่งสำหรับผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน ฟุตบอลเป็นเกมการแข่งขันที่แก่งแย่งชิงดี การเป็นคนดีเกินไปไม่ได้ช่วยให้ทำอะไรได้ดีขึ้น
ทาคุมิ มินามิโนะ กองหน้ารุ่นน้องในทีมชาติญี่ปุ่นเองก็เคยประสบปัญหาดังกล่าว เพราะแม้จะมีทักษะการเล่นที่ยอดเยี่ยม และทำผลงานใช้ได้เมื่อได้โอกาสในการลงสนาม แต่ด้วยทัศนคติทำให้เขาไม่สามารถเอาชนะใจคล็อปป์ได้ จนสุดท้ายต้องยอมแพ้และตัดใจอำลาทีมไปในที่สุด
อย่างไรก็ดีเอ็นโดะดูเหมือนจะมีความต่างจาก ‘ทาคิ’ อยู่บ้างในบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของความพยายามในการปรับตัว
สิ่งที่สังเกตเห็นได้คือกองกลางฉบับกระเป๋ารายนี้ดูจะเล่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกเกมที่ได้โอกาสในการลงสนาม ทั้งเรื่องของการเคลื่อนที่ การอ่านเกม การเข้าปะทะตัดเกม ไปจนถึงการเปิดบอลขึ้นหน้าให้เพื่อนร่วมทีม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่คล็อปป์ต้องการจาก ‘หมายเลข 6’ ของทีมทั้งสิ้น
ผลงานที่ดีที่สุดของเอ็นโดะตั้งแต่ย้ายมาคือเกมกับตูลูสในศึกยูโรปาลีกเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว โดยนอกจากจะทำประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลได้อย่างเซอร์ไพรส์แล้วยังสามารถเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเกมยุโรปนั้นไม่ได้รวดเร็วเหมือนในพรีเมียร์ลีก และคู่แข่งอย่างตูลูสก็ไม่ถึงกับโหดเหี้ยมนัก
แต่อีกส่วนคือตัวของเอ็นโดะก็พยายามปรับตัวได้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ได้คิดย่อท้อ
หลังเกมกับตูลูส เจ้าของเสื้อเบอร์ 3 ของลิเวอร์พูล ได้ให้สัมภาษณ์ด้วยความมั่นใจว่าเขาจะสามารถทำได้ดีขึ้นกว่านี้ แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ และมีอิทธิพลต่อเกมของทีมมากกว่านี้
“เกมกับตูลูสถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดของผมกับลิเวอร์พูลจนถึงตอนนี้” เอ็นโดะให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสร “ผมสามารถทำได้ดีขึ้นกว่านี้อีก แต่ผมรู้สึกว่าตอนนี้เพื่อนร่วมทีมเริ่มรู้จักผมมากขึ้นว่าผมเล่นแบบไหนในสนาม และผมเองก็รู้วิธีการเล่นของพวกเขามากขึ้นเหมือนกัน เกมนี้ถือเป็นเกมที่ดีมาก ผมรู้สึกผ่อนคลายในการเล่นขึ้นมาก”
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกอย่างค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ มาจากความพยายามปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตในแบบใหม่ ที่เขาไปแม้แต่ผับ The Cavern เพื่อเข้าใจเมืองลิเวอร์พูลมากยิ่งขึ้น
“ในช่วงสัปดาห์แรกๆ ผมต้องอยู่คนเดียว นอนที่โรงแรม ดังนั้นผมก็เลยไปร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองลิเวอร์พูล ไปพิพิธภัณฑ์ The Beatles ไปเยี่ยมอนุสาวรีย์ที่ถนน และได้ไป The Cavern ด้วย ซึ่งมันดีมากๆ
“จริงๆ แล้วผมไม่รู้ด้วยว่า The Beatles มาจากเมืองลิเวอร์พูล แต่ผมเคยฟังเพลงของพวกเขามาก่อน เพราะครูเก่าที่โรงเรียนมัธยมของผมเป็นแฟนสี่เต่าทอง เขามักจะเปิดเพลงของ The Beatles ก่อนเริ่มชั้นเรียนเสมอ ดังนั้นผมก็พอรู้จักเพลงบ้าง
“เพลงโปรดของผมคือ Let It Be”
แต่ความจริงอีกด้านคือเอ็นโดะ ยังไม่ได้รับความเชื่อใจจากคล็อปป์มากนัก เกมที่เขาได้ลงเล่นคือเกมในระดับรองอย่างยูโรปาลีกและคาราบาวคัพเป็นหลัก ในขณะที่พรีเมียร์ลีกมีโอกาสได้ลงสนาม 6 จาก 11 นัด
โดยในจำนวนนี้เป็นการออกสตาร์ทตัวจริงเพียงแค่เกมเดียว
เมื่อเทียบกับกองกลางที่ตามมาทีหลังอย่าง โธมัส คราเฟนแบร์ก ที่ตอนนี้เริ่มยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมได้อย่างรวดเร็วในบทกองกลาง Box-to-Box แล้วจะมองเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ไม่นับการที่คล็อปป์ยอมใช้ แม็ค อัลลิสเตอร์ ในตำแหน่งกองกลางตัวรับไปพลางๆ ก่อน
การจะแทรกตัวเข้ามาอยู่ในใจของนายใหญ่ชาวเยอรมันสำหรับเอ็นโดะไม่ใช่เรื่องง่าย เวลาและโอกาสที่เขาจะได้รับมีน้อยกว่าคนอื่น
ในรายการ The Red Kop Podcast ผู้ดำเนินรายการ คริส คาฟลิน มองว่าคล็อปป์ควรที่จะพักการใช้งาน แม็ค อัลลิสเตอร์ ในบทกองกลางตัวรับให้น้อยลง เพราะเห็นได้ชัดโดยเฉพาะในเกมกับลูตันว่ากองกลางอาร์เจนไตน์ประสบปัญหาเสียบอลในแดนตัวเองบ่อยครั้ง
และคนที่ควรจะได้รับโอกาสในเกมพรีเมียร์ลีกบ้างคือเอ็นโดะ ไม่ใช่แค่การรอคอยโอกาสในการลงเล่นเกมระดับรองอย่างเดียว
คาฟลินเชื่อว่าถ้าในเกมพรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์นี้คล็อปป์ยังคงใช้งาน แม็ค อัลลิสเตอร์ ต่อไปก็เป็นเหมือนการส่งสัญญาณบอกกับเอ็นโดะให้ทำใจว่าอนาคตของเขาในแอนฟิลด์จะไม่สดใสเท่าไรนัก
เหมือนกับ คาลวิน ฟิลลิปส์ ที่โดนจับดองในทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะว่าไม่สามารถที่จะสู้กับโรดรี เจ้าของตำแหน่งกองกลางตัวจริง หรือแม้แต่ จอห์น สโตนส์ ที่ขยับมารับบทกองกลางตัวรับได้อย่างเนียนตา และมี ริโก ลูอิส ไอ้หนูดาวรุ่งอีกรายที่แซงหน้าไปแล้ว
อย่างไรก็ดีการที่เอ็นโดะจะสามารถชนะใจคล็อปป์ได้หรือไม่นั้น อยู่ที่การสร้างผลงานในสนามของเขาด้วย
เกมกับตูลูสในคืนนี้ที่เชื่อว่าจะได้โอกาสในการลงสนาม คือโอกาสที่เอ็นโดะไม่สามารถปล่อยปละละเลยได้
ถ้าทำได้ดีและโดดเด่น แรงเชียร์จากแฟนบอลจะเป็นตัวผลักดันให้เขาได้โอกาสที่สมควรจะได้รับมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
อ้างอิง: