วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดัง ออกมาระบุว่า เขาไม่มีความกังวลเกี่ยวกับกระแสการลดการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์หรือ De-Dollarization และยังเชื่อว่าเงินดอลลาร์จะยังรักษาสถานะการเป็นสกุลเงินหลักที่ถูกใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ รวมถึงการค้าและการลงทุนของโลกต่อไปอีกมากกว่า 40 ปี
“ดอลลาร์เป็นสกุลเงินทุนสำรองสำคัญของโลก และมีความเป็นไปได้สูงที่ดอลลาร์จะรักษาสถานะนี้ได้ต่อไปถึงปี 2065 จีนกับสหรัฐฯ จะกลายเป็นสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก แต่ผมยังไม่เห็นว่าจะมีเงินสกุลอื่นที่ก้าวขึ้นมาแทนที่ดอลลาร์ได้” บัฟเฟตต์ระบุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- รวมเหตุการณ์ De-Dollarization สำคัญช่วงครึ่งแรกของปี 2023 สะท้อนโลกกำลังเข้าสู่ยุค Multipolar Currency?
- เปิด 4 เหตุผลที่เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าต่อเนื่อง และเตรียมเข้าสู่ธีมลงทุนแบบ De-Dollarization
ขณะที่ ชาร์ลี มังเกอร์ มือขวาของบัฟเฟตต์ก็ได้ให้ความเห็นที่สอดคล้องกัน โดยเขาเชื่อว่าดอลลาร์จะยังคงมีสถานะเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศหลักของโลกไปอีกอย่างน้อย 20 ปี
อย่างไรก็ดี ทั้งบัฟเฟตต์และมังเกอร์ได้ส่งสัญญาณเตือนไปยังรัฐบาลสหรัฐฯ เช่นกันว่า สกุลเงินดอลลาร์ในช่วงหลังจากนี้อาจมีแนวโน้มที่อ่อนค่าเพิ่มขึ้นจากการที่สหรัฐฯ ใช้นโยบายพิมพ์เงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นจำนวนมหาศาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในท้ายที่สุดมันจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของอเมริกันชน
“การเป็นสกุลเงินทุนสำรองหลักของโลกก็ทำให้เราควรระมัดระวังเช่นกัน เพราะไม่มีใครรู้ว่าสกุลเงินกระดาษจะไปต่อได้อีกไกลแค่ไหนก่อนที่มันจะเข้าสู่ภาวะที่ไม่สามารถควบคุมได้” บัฟเฟตต์กล่าว
ในปีที่ผ่านมา ดัชนี US Dollar Index ซึ่งใช้วัดค่าเงินดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินต่างประเทศต่างๆ ได้ปรับตัวลดลงมากถึง 6% โดยมีสาเหตุหลักมาจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ทำให้ตลาดคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจตอบสนองด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะลดทอนความน่าดึงดูดใจของเงินสกุลดอลลาร์
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังมองว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในช่วงที่เกิดโรคระบาดโควิด ซึ่งส่งผลให้ปริมาณเงินดอลลาร์ในระบบปรับสูงขึ้นก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์
อ้างอิง: