วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีเจ้าพ่อนักลงทุนวัย 92 ปี ออกมาสวนกลับคนที่วิจารณ์การซื้อหุ้นคืน (Stock Buyback) ของ Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้งด้านการลงทุนที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งว่า เป็นพวกไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ หรือพวกชอบตีฝีปากเพื่อปลุกปั่น
“เมื่อคุณถูกบอกว่าการซื้อหุ้นคืนเป็นการทำร้ายผู้ถือหุ้น ประเทศชาติ หรือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับซีอีโอ คุณกำลังฟังพวกไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ หรือพวกชอบตีฝีปากเพื่อปลุกปั่น” บัฟเฟตต์ระบุในจดหมายที่เขาเขียนถึงผู้ถือหุ้นในการเผยแพร่รายงานประจำปีของบริษัท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- อย่าสับสนระหว่าง การพนัน กับ การลงทุน มองวิธีการลงทุนแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในช่วงสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ
- หุ้น BYD ทรุดหนักสุดรอบเกือบ 2 ปี นักลงทุนกังวล ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เทขาย
- วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทุ่มอีก 9.9 ล้านดอลลาร์ ซื้อหุ้นน้ำมันเพิ่มเป็น 17.4% ด้าน J.P. Morgan คาดกรณีเลวร้ายสุด ราคาน้ำมันจะพุ่งไปถึง 380 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
คุณปู่บัฟเฟตต์ซึ่งมีฉายาว่า ‘Oracle of Omaha’ ริเริ่มโปรแกรมการซื้อหุ้นคืนในปี 2011 และพึ่งพาแนวคิดดังกล่าวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นมีราคาแพงและสภาพแวดล้อมในการทำข้อตกลงทางธุรกิจมีการแข่งขันสูง โดยในปี 2021 Berkshire Hathaway ได้ทุ่มเงินเป็นสถิติถึง 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อซื้อหุ้นคืน
อย่างไรก็ดี มูลค่าการซื้อหุ้นคืนของ Berkshire Hathaway ในปีนี้ได้ปรับลดลงมาเหลือ 8 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากบริษัทได้ใช้เงินราว 1.16 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าซื้อกิจการของบริษัทประกัน Alleghany
แนวทางการซื้อหุ้นคืนของ Berkshire Hathaway ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยนักการเมืองหลายรายที่มองว่า บริษัทขนาดใหญ่ควรใช้สภาพคล่องไปในด้านอื่นๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว เช่น ให้สิทธิประโยชน์กับลูกจ้าง หรือเพิ่มการลงทุน มากกว่านำเงินมาซื้อหุ้นคืน
หลายคนยังวิจารณ์ว่าการซื้อหุ้นคืนจะช่วยเพิ่มการเติบโตของกำไรต่อหุ้น แต่เมื่อบริษัทต่างๆ หยุดทำอย่างนั้น การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวก็จะกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น ซึ่งเป็นมุมมองที่แตกต่างจากบัฟเฟตต์ที่เชื่อว่า การซื้อหุ้นคืนจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น เนื่องจากเป็นการเพิ่มมูลค่าที่แท้จริงต่อหุ้น
“มันไม่ใช่เรื่องซับซ้อนทางคณิตศาสตร์ เมื่อจำนวนหุ้นลดลง ผลประโยชน์ของคุณในธุรกิจของเราจะเพิ่มขึ้น การซื้อคืนในราคาที่เหมาะสมจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น” บัฟเฟตต์กล่าว พร้อมยกตัวอย่างถึงความสำเร็จของ Apple และ American Express จากการใช้กลยุทธ์นี้
ล่าสุด Berkshire Hathaway ได้ประกาศผลกำไรในไตรมาสที่ 4 ปีที่ผ่านมาที่ 6.7 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรที่ลดลงเป็นผลมาจากความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจรถไฟของบริษัท และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์
อย่างไรก็ดี หากตัดปัจจัยเรื่องการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ซึ่งมีส่วนทำให้มูลค่าของหนี้สกุลเงินต่างประเทศของบริษัทสูงขึ้นออกไป กำไรจากการดำเนินงานของ Berkshire Hathaway ในช่วงดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นประมาณ 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อ้างอิง: