×

วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล เล่าบทเรียนและสิ่งที่ค้นพบระหว่างเดินทาง เถื่อน Travel ซีซัน 2

16.06.2018
  • LOADING...

“การเดินทางไม่ได้สอนทุกอย่าง และถ้าคุณติดการเดินทางมากเกินไป ด้านอื่นๆ ของชีวิตคุณก็อาจจะหายไป และคนอื่นจะเริ่มชินกับการไม่มีเราอยู่ในชีวิต ซึ่งนั่นเป็นความรู้สึกที่เปลี่ยวเหงามาก”

 

เถื่อน Travel ซีซัน 2 ทางช่อง GMM 25 เริ่มต้นออนแอร์ไปแล้ว 2 ตอนคือ Svalbard เมืองเหนือสุดขอบโลก และ อาร์กติก ขั้วโลกเหนือสองฤดู ซึ่งเรียกเสียงชื่นชมจากแฟนรายการอย่างมากว่าสนุกและน่าสนใจไม่แพ้ซีซันแรก

 

THE STANDARD นั่งคุยกับ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ก่อนที่อีกไม่กี่วันข้างหน้าเขาจะต้องออกเดินทางเพื่อถ่ายทำ เถื่อน Travel ซีซัน 2 ต่อในส่วนที่เหลือ ซึ่งตามแผนจะมีทั้งหมด 17 ตอนจากการเดินทาง 14 ประเทศ ได้แก่ สฟาลบาร์ หมู่เกาะในมหาสมุทรอาร์กติก, อาร์กติก ขั้วโลกเหนือ, กรีนแลนด์, โคลอมเบีย, ป่าดิบชื้นแอมะซอน, ซีเรีย, อิรัก, ทะเลทรายซาฮารา จากนั้นจะพาไปเยี่ยมชนเผ่าอันลือเลื่องที่ปาปัวนิวกินี, โซมาเลีย, เอธิโอเปีย, ญี่ปุ่น และเกาหลี ฯลฯ

 

‘โลกคือห้องเรียนที่ใหญ่ที่สุด’ ระหว่างนั่งคุยกับวรรณสิงห์ ผมนึกถึงคำนี้ขึ้นหลายครั้ง เพราะสิ่งที่รับได้มากกว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเดินทางครั้งใหม่ที่ยังคงดุเดือด ทรหด และสวยสดชวนตื่นเต้น มันคือเรื่องราวการเติบโต การมองชีวิตและผู้คนผ่านสายตานักเดินทางในวัย 34 ปีที่ได้ใช้พลังงานชีวิตวัยหนุ่มไปอย่างคุ้มค่า และดูเหมือนตอนนี้เขาเองก็กำลังมองหา ‘สถานีชีวิต’ เพื่อให้ตัวเองได้หยุดพักเพิ่มพลัง ก่อนจะออกเดินทางต่ออีกครั้ง ซึ่งเชื่อเถอะว่าคนแบบนี้หยุดได้ไม่นานหรอก  

 

สฟาลบาร์ หมู่เกาะในมหาสมุทรอาร์กติก

 

กรีนแลนด์

 

เถื่อน Travel ซีซันแรกถือว่าประสบความสำเร็จมาก ตอนเริ่มต้นซีซัน 2 คุณตั้งเป้าหมายหรือโจทย์ของตัวเองไว้บ้างไหมว่าจะต่อยอดรายการอย่างไร
ความจริงซีซันแรกมันเซอร์ไพรส์ผมด้วยซ้ำ เพราะตอนเริ่มต้นทำ ผมไม่ได้คิดว่าจะมีคนดูเลย ผมทำเพราะอยากสนองนี้ดตัวเองจริงๆ คือเราอยากไปสถานที่ประมาณนี้ จากนั้นคิดต่อว่าทำอย่างไรดีถึงจะหาเงิน หาสปอนเซอร์มาช่วยได้ เลยทำเป็นรูปแบบรายการขึ้นมา กำไรเหลือนิดเดียวก็ไม่เป็นไร แล้วพอได้เดินทางเราก็ไม่อยากไปถึงเฉยๆ เราอยากมีเรื่องกลับมาเล่า สุดท้ายเลยออกมาเป็นรายการ เถื่อน Travel ด้วยความบังเอิญจริงๆ

ในขณะที่ซีซัน 2 ความยากของผมคือต้องลืมความสำเร็จนั้นทิ้งไปให้หมดแล้วกลับไปสู่รากของมันอีกครั้ง คือเราอยากทำอะไร อยากไปไหน อยากนำเสนอเรื่องอะไร จงออกไปทำมัน… รายการนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าคนทำไม่มีความอินหรือไม่มีแพสชัน เพราะมันใช้พลังงานชีวิตและเวลาในการทำเยอะมาก

ยิ่งได้ออกเดินทาง ไอ้ดราม่าที่เราเคยมีอยู่ในชีวิตประจำวันมันกลายเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวจริงๆ เมื่อเทียบกับสิ่งเหล่านี้ ระหว่างทางมันลืมความทุกข์ ลืมเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตได้ด้วยการพาตัวเองไปโฟกัสกับโลก ซึ่งมันมีอะไรน่าสนใจเยอะมาก

ขณะเดียวกันในเชิงคอนเทนต์ ถ้าทำอะไรแล้วได้ออกมาน้อยกว่าเดิมหรือเหมือนเดิม เราก็คงจะเบื่อเอง ยกตัวอย่าง คอนเทนต์สงคราม ซีซันที่แล้วเราไปอัฟกานิสถาน ซึ่งตาม Global Peace Index อยู่ในอันดับ 3 ของประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก พอมาถึงซีซันนี้ผมเลยเลือกไปสถานที่ที่อันตรายเป็นอันดับ 1 และ 2 นั่นคือประเทศซีเรียและอิรัก

รอบที่แล้วเราไปติดหล่มอยู่กลางทะเลทรายนามิเบีย รอบนี้ผมก็เลยเลือกไปซาฮารา ซึ่งเป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผมไปอยู่ที่นั่นมา 1 เดือนเลย เพราะกว่าจะเดินทางข้ามจากใต้ขึ้นเหนือได้ มันใช้ระยะทาง 4,000 กว่ากิโลเมตร ต้องแวะตรงโน้นตรงนี้ ผ่านหลายประเทศมาก ได้เห็นอะไรเยอะมาก

นอกจากนั้นยังมีเรื่องใหม่ๆ ที่เราสนใจ เช่น เรื่องชาวเผ่าปาปัวนิวกินีที่เราเคยได้ยินว่าเป็นเผ่ากินคน ซึ่งก็อยากรู้ว่าของจริงเป็นอย่างไร หรือปกติผมเป็นคนขี้หนาวมาก รอบนี้ก็เลือกจะไปขั้วโลกเหนือตอนหน้าหนาว ต้องไปเจอกับอุณหภูมิติดลบ 32 องศา แทบตายจริงๆ เป็นทริปที่ทรมานในการถ่ายทำมาก คือผมเลือกเองที่จะทำอะไรที่ทรมานที่สุด (หัวเราะ)

 

ทะเลทรายซาฮารา

 

ไปแล้วทรมาน แต่ที่ยังเลือกจะไป เพราะมันเป็นแพสชันจริงๆ ใช่ไหม

มันเป็นแพสชันครับ ผมเป็นคนขี้สงสัย อยากรู้อยากเห็นตั้งแต่เด็ก เรารู้สึกมีความสุขมากเวลาได้เข้าใจสิ่งใหม่ๆ ผ่านประสบการณ์ตรง ไม่ใช่การเรียนรู้จากการอ่านหนังสือหรือสิ่งที่คนอื่นบอก

พอเราโตขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น เราก็รู้สึกว่าโลกมันมหัศจรรย์ยิ่งขึ้น เออว่ะ ดาวที่เราอยู่มันมีอะไรน่าสนใจเยอะมากจริงๆ ยิ่งได้ออกเดินทาง ไอ้ดราม่าที่เราเคยมีอยู่ในชีวิตประจำวันมันกลายเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวจริงๆ เมื่อเทียบกับสิ่งเหล่านี้ ระหว่างทางมันลืมความทุกข์ ลืมเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตได้ด้วยการพาตัวเองไปโฟกัสกับโลก ซึ่งมันมีอะไรน่าสนใจเยอะมาก

ระหว่างทางมันอาจจะต้องบุกป่าฝ่าดง ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ไม่ใช่มนุษย์สายที่ต้องใช้แรงเยอะขนาดนั้น แต่ที่ยังเลือกไปเพราะเราเชื่อว่าการเดินทางมันจะทำให้เราได้เห็นอะไรที่มหัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่สวยมากๆ วิวแต่ละสถานที่ที่ผมไปมันสวยแทบหยุดหายใจ

 

ทะเลทรายซาฮารา

 

ยกตัวอย่างที่ทะเลทรายซาฮารา มีวิวหนึ่งที่ผมประทับใจมาก คือมองไปรอบตัวแบบ 360 องศา เราจะเห็นแค่เส้นตรงๆ แบนๆ ไม่มีเนินเขา ไม่มีต้นไม้สักต้น ไม่มีเมฆสักก้อน ภาพทั้งหมดเป็นแค่สีน้ำตาลกับสีฟ้า ถ่ายรูปกลับมานึกว่าเป็นภาพซีจี เพราะมีแค่กรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าสองสีประกอบกัน ซึ่งเราไม่เคยคิดว่าจะได้ภาพแบบนี้บนโลก ผมประทับใจมาก

การได้คุยกับผู้อพยพชาวซีเรีย คุยกับความทุกข์ที่พวกเขาเผชิญอยู่ในทุกๆ วัน การได้คุยกับพ่อแม่ที่เสียลูก การได้คุยกับลูกที่เสียพ่อแม่ไปต่อหน้าต่อตา… มันทำให้เรารู้สึกว่าสงครามที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกมันมีตัวมีตน มีคนเดือดร้อน มีคนตายจริงๆ”

ในแง่คัลเจอร์ ตอนไปประเทศอิรักผมก็ได้เรียนรู้ว่าวัฒนธรรมของคนที่นั่นลึกซึ้งมาก มัสยิดที่นั่นเป็นหนึ่งในมัสยิดที่สวยที่สุดในโลกเท่าที่ผมเคยเห็น ปกติผมจะไม่ค่อยกรี๊ดกร๊าดกับสิ่งที่มนุษย์สร้าง แต่จะกรี๊ดกับธรรมชาติมากกว่า แต่พอเห็นมัสยิดแห่งนั้นแล้วผมอ้าปากค้าง เพราะสวยจริงๆ มนุษย์ทำขึ้นมาได้ยังไงวะ

การได้คุยกับผู้อพยพชาวซีเรีย คุยกับความทุกข์ที่พวกเขาเผชิญอยู่ในทุกๆ วัน การได้คุยกับพ่อแม่ที่เสียลูก การได้คุยกับลูกที่เสียพ่อแม่ไปต่อหน้าต่อตา… มันทำให้เรารู้สึกว่าสงครามที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกมันมีตัวมีตน มีคนเดือดร้อน มีคนตายจริงๆ


ผมหมายถึงบางทีเราอยู่ในประเทศไทย หลายครั้งเราจะรู้สึกแค่ว่ามันเป็นสถานการณ์หนึ่งของโลก แต่เราไม่ได้รู้สึกกับมันขนาดนั้น เพราะว่าเป็นเรื่องไกลตัว     

 

ประเทศอิรัก

 

บางทีอ่านข่าว เราคิดว่ารู้สึกเศร้าแล้วนะที่เห็นเพื่อนร่วมโลกแย่ เห็นบ้านเมืองพัง มีเด็กตาย แต่พอได้ไปสัมผัสจริงๆ มันรู้สึกมากกว่านั้น
ใช่ครับ พอเราไปอยู่กับพวกเขา ได้นั่งคุยกับพวกเขา มองตา จับมือ ฟังเขาร้องไห้ การอยู่ตรงนั้นมันเครียดมาก อีกแง่หนึ่งก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์มาก เพราะเราช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย ถึงแม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยเราเอากล้องขึ้นมาถ่ายเพื่อให้เสียงของพวกเขาได้พูด แต่ความจริงมันก็แค่นั้นแหละครับ เพราะชีวิตของพวกเขาก็ยังเหมือนเดิม บ้านยังพัง ลูกหลานยังโดนระเบิด สงครามก็ยังดำเนินต่อไป

พอไปเห็นเรื่องเหล่านี้ แง่หนึ่งก็รู้สึกแย่กับโลกมนุษย์มากๆ แต่มองในด้านบวกก็รู้สึกว่าตัวเองต้องพยายามสร้างความสนใจและความเข้าใจของคนต่อสถานการณ์นี้ให้มากขึ้น เราอยากช่วยให้มากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะพอช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผู้ลี้ภัย หรือการดึงเงินบริจาคจากเมืองไทยเข้าไปช่วยในพื้นที่เหล่านี้

ผมเข้าใจว่าคนไทยอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งช่วยไม่ได้ เพราะมันก็ไกลตัวจริงๆ แต่เราก็พยายามจะดึงให้มันเข้ามาใกล้อีกหน่อยในฐานะมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกใบเดียวกัน

ก่อนหน้านี้คนไทยอาจจะกำลังโฟกัสอยู่กับปัญหาในบ้านของเราเอง ทั้งเรื่องคอร์รัปชัน เรื่องรัฐบาล หรือเรื่องอะไรก็ตาม ซึ่งต้องยอมรับว่าบ้านเรามีปัญหาเยอะ แต่เมื่อเทียบกับสเกลระดับโลก พอเราได้ไปเห็น ปัญหาในบ้านเรายังถือว่าเล็กน้อยมากจริงๆ

ผมไม่ได้จะบอกว่าประเทศตัวเองดี รักชาติชูธงอะไร แต่หลายๆ อย่างเราควรจะ appreciate กับมันนะ ไม่ใช่แค่อยู่เพื่อด่าสังคม แต่อยู่เพื่อแก้ไขให้มันดีขึ้นโดยไม่ต้องรู้สึกแย่กับมัน

 

ประเทศซีเรีย

 

เท่าที่ติดตาม เถื่อน Travel ซีซัน 2 ภาพสวยมาก แสดงว่าทุกประเทศที่เดินทางไป ถึงแม้จะมีความเถื่อน ความยากลำบาก แต่ในความเถื่อนดูเหมือนหลายที่จะมีความงามมากมายอยู่ในนั้นด้วย

โอ้โห หลายครั้งในที่ที่ผมไปมันรู้สึกสวยจนหยุดหายใจจริงๆ นะครับ บางสถานที่มันสวยขนาดผมคิดว่านี่มันดาวดวงเดียวกับที่เราอาศัยอยู่จริงๆ เหรอวะ ทำไมมันต่างจากกรุงเทพฯ เยอะเหลือเกิน (หัวเราะ) ความจริงกรุงเทพฯ ก็สวยแบบนั้นได้นะครับ แค่เพียงลบตึกทั้งหมดออกไปแล้วกลับคืนสู่ state nature ธรรมชาติของโลกใบนี้มันสวยมากจริงๆ

ที่ที่ผมอ้าปากค้างมันมีตั้งแต่เนินทรายสีทองที่ซาฮารา ตอนผมไปถึง ลมมันกำลังพัดแรง แล้วทรายก็ปลิวไปตามพื้นผิว ภาพที่ผมเห็นตรงหน้ามันเหมือนเนินสีทองที่กำลังเคลื่อนไหว โอ้โห ทำไมมันสวยขนาดนี้วะ แล้วโมเมนต์ตรงนั้นผมไม่อยากหยิบกล้องขึ้นมาเลย ผมอยากจะเอ็นจอยไปกับธรรมชาติที่เห็นตรงหน้า แต่มันทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเรามาถ่ายงาน นั่นเป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่ต้องรับผิดชอบ

 

กรีนแลนด์

 

หรือบางทีธรรมชาติก็ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นเรื่องความมหัศจรรย์ อย่างตอนผมไปกรีนแลนด์ ต้องเจอสภาพอากาศแบบติดลบ 32 องศา มันหนาวเย็นจนขี้มูกผมเป็นน้ำแข็งอยู่บนหนวด (หัวเราะ) แต่ขณะเดียวกันชาวเอสกิโมซึ่งอยู่ด้วยกัน ขี้มูกของเขาแข็งย้อยลงมาประมาณ 3 เซนติเมตรแล้ว แต่เขาไม่สนใจ เพราะชินมาก ชิลกับสภาพอากาศมาก ผมรู้สึกปลื้มปีติกับความเป็นมนุษย์ที่มันสามารถปรับเข้ากับทุกอย่างบนโลกได้จริงๆ ไม่ว่าจะไปอยู่ตรงจุดไหนก็ตาม

ที่เล่ามา ผมพาไปทั้งทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ที่หนาวที่สุดในโลก (หัวเราะ) และอีกที่คือแอมะซอน (Amazon) ประเทศบราซิล ป่าดงดิบที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือธรรมชาติของป่าแอมะซอนเนี่ย ถ้ามองด้วยตาเปล่าเราจะไม่ค่อยรู้สึกประทับใจเท่าไร คือเส้นทางมันกว้างใหญ่ก็จริง แต่มองผิวๆ โดยเฉพาะคนไทยอาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นแม่น้ำแควได้ เพราะสีของน้ำเป็นสีกาแฟคล้ายกัน อยู่ตรงเส้นศูนย์สูตรเหมือนกัน แต่นั่นคือวิวทิวทัศน์ แต่พอคุณเดินเข้าไปข้างใน คุณจะค่อยๆ พบรอยเท้าเสือจากัวร์ ค่อยๆ พบแมงมุมซึ่งตัวใหญ่เท่าจานข้าว มองขึ้นไปบนต้นไม้จะเห็นงูเขียวตัวมหึมานอนขดอยู่ หรือมองไปในน้ำก็เห็นจระเข้ตัวใหญ่เท่าเรือลอยมา

 

แม่น้ำแอมะซอน ประเทศบราซิล

 

พอยิ่งอยู่ ยิ่งเห็นรายละเอียด มันเริ่มเห็นแล้วว่าที่นี่ไม่เหมือนป่าเมืองไทยแน่นอน (หัวเราะ) นี่คือที่ที่ทุกสิ่งฆ่าคุณได้ เพราะรายละเอียดทางธรรมชาติมันมีความหลากหลายมากๆ ไปอยู่ที่นั่นผมได้เห็นกบตัวเท่าไก่ กบบ้าอะไรเนี่ย แล้วไม่ใช่แค่สัตว์เพียงอย่างเดียว ผู้คนที่อาศัยอยู่ก็น่าทึ่งด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่าง ผมเดินทางไปกับคนท้องถิ่น ซึ่งคนท้องถิ่นที่นั่นจะมีอยู่หลายชนเผ่า ระหว่างทางพี่เขาก็บอกว่า เดี๋ยวเรามาตกปลากัน หันไปหันมาสักพักไม่มีเหยื่อ เขาก็เลยหยิบมีดขึ้นมาแล้วฝานหนังตีนตัวเองมาหนึ่งชิ้น แล้วก็เอาหนังตีนชิ้นนั้นไปเกี่ยวกับเบ็ด จากนั้นจุ่มลงไปในน้ำประมาณ 3 วินาที ดึงขึ้นมาอีกทีปลาติดเบ็ด หนังตีนอร่อยมาก (หัวเราะ) แล้วปกติไอ้เรื่องพวกนี้มันจะกลายเป็น behind the scene เวลาไปถ่ายทำไง แต่สำหรับรายการผมมันรวมอยู่ในนั้นด้วย เพราะระหว่างเดินทางผมใช้ 2 กล้อง คือระหว่างถ่ายเขาฝานหนังตีน อีกกล้องผมก็ถ่ายตัวเองไปด้วย แต่การถ่ายอะไรพวกนี้ เมื่อนำกลับมามันก็ต้องใช้ประสบการณ์เหมือนกันว่าถ่ายอะไรกลับมาแล้วเวลานำมาออกในรายการคนดูจะสนุกไปกับเรา

 

แม่น้ำแอมะซอน ประเทศบราซิล

 

ทุกที่ที่คุณไปดูเหมือนจะพูดคุยกันมนุษย์ค่อนข้างเยอะ คุณเห็นความงามจากมนุษย์ด้วยกันในมุมไหนบ้าง
โอ้โห เยอะมาก เวลาพูดถึงประเทศอิรัก เรามักได้ยินเรื่องสงคราม แต่พอผมได้ไปกินข้าวกับครอบครัวคนอิรักที่นั่น ทุกคนเฟรนด์ลีมากๆ น่ารักมากๆ ความจริงทุกประเทศในภูมิภาคนั้นเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นปาเลสไตน์หรืออัฟกานิสถาน ที่พอไปถึงผมกลับได้เจอผู้คนน่ารัก อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมของคนอาหรับด้วยที่ยินดีต้อนรับแขกมากๆ และเรารู้สึกได้ถึงมิตรภาพที่แท้จริง บางคนอาจจะเป็นไกด์ที่จ้างมา แต่เมื่อจบทริป เขาก็เอ่ยปากชวนว่าวันหน้ามาเที่ยวบ้านสิ เที่ยวฟรี ไม่เอาสตางค์ (ยิ้ม) คำพูดที่หยิบยื่นมาเหล่านี้ทำให้รู้สึกประทับใจ

อย่างตอนไปที่กรุงแบกแดด แน่นอนที่นั่นมีระเบิด มีรถถัง แต่เขาก็มีที่ที่เป็น cultural center ได้เจอผู้คนหลายพันมารวมตัวกัน ใครอยากแสดงออกด้านไหนก็ทำเลย บางคนหยิบไมค์ขึ้นมาพูดเรื่องการเมืองแล้วล้อมวงฟังกัน บางคนอยากอ่านบทกวี อยากเล่นกีตาร์ แซกโซโฟน ไวโอลิน หรืออยากแสดงอะไรก็มีคนล้อมวงรอฟัง มันมีบรรยากาศของความอิสระและเป็นปัญญาชนอยู่สูงมาก

อิรักยังมีความเซอร์ไพรส์อีกหลายอย่าง คนส่วนใหญ่คิดว่าอิรักเป็นประเทศเข้มงวด เพราะมีกฎชารีอะฮ์ (ประมวลข้อปฏิบัติต่างๆ เกี่ยวกับกฎหมายศาสนาของชาวมุสลิม) แต่ไม่ใช่นะครับ

 

กรุงแบกแดด ประเทศอิรัก

 

ในแบกแดดนี้คือมีผู้หญิงเดินในที่สาธารณะโดยไม่ใส่ผ้าคลุมผม (ฮิญาบ) อยู่เต็มไปหมด ถามว่ากลุ่มคนที่เคร่งครัดทางศาสนามีไหม มีเต็มเลย แต่ขณะเดียวกันเขาก็เปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มคนสมัยใหม่ ผมไปถามสาวๆ ชาวอิรักว่าชอบดูอะไรกัน เขาบอกว่าชอบดูซีรีส์เกาหลี เราเลยเซอร์ไพรส์ว่าในจุดที่เราเคยคิดว่ามันไม่เหลือพื้นที่ให้เอ็นจอยกับชีวิตอย่างมนุษย์ปกติได้ ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่ยังคงใช้ชีวิตเป็นปกติ และในฐานะมนุษย์ด้วยกัน เราประทับใจในความลึกซึ้งทางวัฒนธรรม

 

ขณะเดียวกัน พอได้รู้ว่าคนอิรักมีความลึกซึ้งในเชิงวัฒนธรรมมากขนาดไหน เราก็จะรู้สึกโคตรเสียดายเลย ถ้าสมมติว่าอยู่ๆ วันหนึ่งระเบิดตกลงไปใน cultural center แล้วผู้คนซึ่งมีความลึกซึ้งทางวัฒนธรรมและมีอารยะขนาดนี้ต้องหายไปภายในเสี้ยววินาทีโดยไม่มีโอกาสได้สั่งลาใดๆ กับคนที่เขารัก มันฟังดูน่าเศร้าและไม่เมกเซนส์เลย

 

กรุงแบกแดด ประเทศอิรัก

 

ตั้งแต่คุยกันมา รู้สึกได้อย่างหนึ่งว่าการออกไปทำอะไรอย่างนี้มันต้องใช้พลังงานชีวิตเยอะมาก และไม่ใช่ทุกช่วงชีวิตแน่ๆ ที่จะออกไปทำได้

โอ้โห ตอนนี้ร่างกายก็เพลียมากแล้ว ถามว่าผมชอบทำรายการไหม ผมชอบครับ แต่ถามว่าเหนื่อยไหม ผมเป็นมนุษย์ธรรมดา มันก็เหนื่อย สิ่งหนึ่งที่คิดอยู่ในช่วงนี้คือหลังจากจบซีซัน 2 คงพักยาวๆ แพสชันมันยังมีอยู่ เพียงแต่ต้องให้เวลามันยุบตัวหน่อย แล้วพอชาร์จพลังจนเต็ม เกิดความรู้สึกอยากเดินทางอีกครั้งแล้วค่อยไป… อาจจะไม่ได้หยุดเดินทาง ผมยังอยากเดินทางอยู่ เพียงแต่การถ่ายรายการด้วยรูปแบบดาร์กๆ อาจจะหยุดไปสักช่วงหนึ่ง เพราะการเห็นเรื่องมืดๆ บนโลกเยอะมันกัดกินอารมณ์ ทำให้เราเครียดตามไปด้วย

 

ต่อไปผมอยากเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับการอยู่เฉยๆ บ้าง หรือการได้ค้นพบอะไรข้างในโดยการอยู่เฉยๆ คงมาตามวัยแหละครับ คือถ้าผมไม่ได้แอดเวนเจอร์แบบสุดขั้วตั้งแต่อายุเท่านี้ ตอนผมแก่ตัวไปผมก็คงอยากจะทำอยู่ดี เพราะหลายที่ที่ไปผมก็เจอคนอายุ 50-60 ปี ยกตัวอย่าง ขึ้นเขาคิลิมันจาโร ผมก็เจอคุณป้าอายุ 70 กว่า โอ้โห สุดยอด สำหรับฝรั่ง เรื่องอายุมันไม่มีความหมายเลยครับสำหรับสิ่งเหล่านี้ มันมีแค่ว่าฉันอยากทำอะไรฉันก็ทำโดยไม่ต้องมีลิมิตเรื่องชีวิตหรือเรื่องอายุ ซึ่งผมมองว่านี่เป็นแง่ที่ดีของสังคมเขานะ เพราะมันทำให้คนอายุเยอะมีความสุขได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาครอบครัวและลูกหลานมากนัก ขณะที่สังคมเอเชียจะมีมุมมองอีกแบบ ซึ่งผมว่าถ้าเปลี่ยนมุมมองได้ก็ดี เพราะเดี๋ยวเราก็จะกลายเป็นสังคมสูงวัยกันแล้ว

 

ประเทศอิรัก

 

เพราะความคาดหวังในสังคมที่มองว่าสมาชิกครอบครัวที่อายุน้อยกว่าจะต้องดูแลผู้สูงอายุ มันทำให้เราไปจำกัดศักยภาพของทั้งคนหนุ่มสาว รวมไปถึงผู้สูงวัยที่อยากจะทำอะไรตามแพสชันของตัวเอง ทั้งที่ความจริงแล้วการได้ออกไปทำอะไร เขาอาจจะได้ค้นพบชีวิตหลายๆ อย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอในตอนแก่ก็ได้

 

ทีนี้กลับมาสู่ตัวผมเอง ผมว่ามันไม่จำเป็นหรอกว่าวัยไหนจะไป วัยไหนจะอยู่ เพราะมันเป็นเรื่องความสมดุลของชีวิต เพียงแต่ตอนนี้การออกไปเดินทางมันเลยสมดุลของผมไปแล้ว ตอนนี้ผมแทบไม่ได้อยู่บ้านเลย ผมเดินทางปีละ 13-14 ทริป ไปแต่ละทีกินเวลาครึ่งเดือน หรือบางที 20 วัน นั่นทำให้ตอนนี้ชีวิตด้านอื่นเสียสมดุลไปด้วย เช่น ความสัมพันธ์ที่บ้าน การพัฒนาตัวเองในด้านอื่นๆ ศิลปะด้านอื่นๆ อย่างการทำเพลงหรือการทำหนังที่ผมเองก็สนใจอยากศึกษา กลายเป็นว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้ทำต่อ เพราะชีวิตเราต้องออกกอง 20 วัน พอกลับมาบ้านก็ขอนอนอย่างเดียว เพราะเหนื่อย พอหายเหนื่อยปุ๊บก็ออกไปลุยใหม่อีก ผมเลยรู้สึกว่าตอนนี้ชีวิตเริ่มไม่สมดุล เดี๋ยวพอเวลาผ่านไป พอหาสมดุลได้อาจจะดีกว่านี้

 

 

ออกเดินทางแต่ละครั้ง พ่อกับแม่ยังต้องเป็นห่วงอยู่ไหม
ห่วง แต่เขาก็ชินแล้ว ต้องขอบคุณคุณพ่อกับคุณแม่มาก เพราะถ้าผมไม่มีพ่อแม่สองคนนี้ ผมก็ไม่ได้ทำงานอะไรอย่างนี้ คงโดนห้ามตั้งแต่เดินออกจากประตูบ้านแล้วล่ะ

ตอนนี้ผ่านมา 2 ซีซันแล้ว ทบทวนชีวิตดูหน่อยไหมว่าคุณได้และเสียอะไรไปบ้าง
มุมมองเนี่ยได้อยู่แล้ว ได้เห็นความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ แต่ผมจะบอกว่าการเดินทางก็เหมือนทุกสิ่งในชีวิต คือพอทำบ่อยไป สิ่งที่เราจะได้กลับมามันก็จะลดลง ตอนแรกเคิร์ฟอาจจะชันหน่อย โอ้โห ไปทริปแรกได้อะไรเยอะมาก โอ้โห โลกเรามีแบบนี้ด้วยเหรอ แต่ไปทริปต่อๆ ไปเคิร์ฟอาจจะชันไม่เท่าเดิม แต่การเดินทางสอนอะไรเราได้เยอะครับ สอนทั้งในเรื่องการทำงาน สอนเรื่องความอึด ความอดทน ฝึกการมีปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหา… ความเป็นระเบียบ ตอนนี้มีระเบียบในการทำงานมาก (หัวเราะ) เช่น การบริหารเวลาในแต่ละวัน เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องหยิบกล้องขึ้นมา เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องชาร์จแบต ต้องโหลดไฟล์ เพราะอยู่คนเดียว ไม่มีใครทำให้

สำคัญคือฝึกให้เราเปิดมุมมองเพื่อเข้าใจคนอื่นในโลกใบนี้ ฝึกให้เข้าใจปัญหาและมองทุกอย่างให้ไกลกว่ากรุงเทพฯ ไกลกว่าตัวเอง หรือไกลกว่าสิ่งที่อยู่ในสังคมไทย แต่ขณะเดียวกันเราก็จะบอกว่าการเดินทางไม่ได้สอนทุกอย่าง และถ้าคุณติดการเดินทางมากเกินไป ด้านอื่นๆ ของชีวิตคุณก็อาจจะหายไป และคนอื่นเขาก็จะเริ่มชินกับการไม่มีเราอยู่ในชีวิตนะครับ ซึ่งนั่นเป็นความรู้สึกที่เปลี่ยวเหงามาก

 

 

ตอนกลับมาจากการเดินทาง เราพยายามที่จะ keep connection กับเพื่อนๆ พยายามเข้าไปอยู่ในชีวิตคนทุกคน เพราะรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วเราไม่อยากจะแก่ไปคนเดียว อีกอย่างคือยิ่งเดินทางเยอะ เรายิ่งอยากมีบ้านของตัวเอง อยากมีลูกสักคน อยากมีครอบครัว เพราะการเดินทางมันขาดสิ่งเหล่านี้… การกลับมาแล้วมีคนรออยู่สักคนมันก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เราดีใจ แต่เราก็ไม่สามารถจะหวังได้ว่าทุกคนจะรอเราตลอดไป ถ้าเราไม่พยายามในการที่จะอยู่ในชีวิตเขาเลย ตรงนี้อาจจะเป็นด้านที่ตอนเด็กๆ ยังมองไม่เห็น แต่พอโตขึ้นเราถึงได้รู้สึก (คิด) การเดินทางอาจจะสอนให้เรารับผิดชอบต่อตัวเอง แต่ว่ามันไม่ทำให้เรารับผิดชอบต่อผู้อื่น เพราะระหว่างเดินทางเราไม่จำเป็นต้องอยู่เพื่อดูแลใคร

หรือในเชิงความสงบของชีวิตก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองนิ่ง แต่เรารู้สึกว่าต้องค้นหาอะไรมาเติมตลอดเวลา แต่พอออกไปเอาอะไรมาเติมปุ๊บ เราก็ยังอยากมีความสุขกับความนิ่งได้บ้าง นั่งจิบชาอยู่ในสวนก็แฮปปี้แล้ว ซึ่งด้านนี้ในชีวิตผมยังไม่มี ก็เลยรู้สึกว่าถ้าอยากทำให้การเดินทางมันมีคุณค่า เราต้องบาลานซ์ชีวิต ต้องพัก ต้องมีบ้าน มีรากของตัวเองบ้าง

 

 

ตอนนี้อยากมีลูก มีครอบครัวแล้ว
อยากแล้วครับ คือเราทำอะไรเพื่อตัวเองมาเยอะแล้ว ทำเพื่อสังคมโดยรวมก็ทำมาประมาณหนึ่ง แต่การทำอะไรเพื่อคนจริงๆ ที่อยู่ในชีวิต ผมอาจจะยังทำน้อยอยู่ แล้วถึงจุดหนึ่ง คนเราคงอยากมีเหตุผลให้อยากทำอะไรต่อ การมีคนที่เรารักมากๆ บางทีก็เป็นเหตุผลที่เราอยากพยายามทำโน่นทำนี่

ที่ผ่านมาผมใช้แพสชันนำทางมาโดยตลอด แต่ถึงจุดหนึ่งผมอยากมีเหตุผลในการทำอะไรมากกว่านี้ แล้วคนที่อยู่ข้างๆ คนที่อยู่รอบๆ ตัวก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ดี

 

หลังจากผ่านการอยู่นิ่งๆ เช็กพอยต์ต่อไปของชีวิตคุณหลังจากนี้ล่ะ คิดไว้บ้างหรือเปล่าว่าจะเดินไปทางไหนต่อ
อย่างที่บอกว่าพอคิดว่าจะอยู่นิ่งๆ จากที่เคยตั้งใจว่าจะลองบวชก็น่าจะได้บวชจริงๆ อาจจะไม่ได้บวชยาวๆ แต่เราอยากรู้สึกถึงความสงบจริงๆ บ้าง ที่ผ่านมาเหมือนเราได้วัตถุดิบจากการเดินทางมาเยอะมาก แต่เรายังไม่มีเวลาสังเคราะห์ให้มันตกผลึก แต่หลังจากนี้คงปล่อยให้ตัวเองได้นั่งครุ่นคิดบ้าง หรือถ้าจะเดินทางก็เป็นการเดินทางแบบไม่เอากล้องไป ซึ่งนั่นแปลว่าผมต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง

 

 

แต่เราเชื่อว่า เถื่อน Travel ซีซัน 2 มันน่าจะทำให้คนดูอิ่มมากพอจนเบื่อหน้าเราไปสักพัก (หัวเราะ) เพราะมันไปทั่วทุกมุมโลกจริงๆ อย่างตอนนี้ที่เราคุยกัน ผมเดินทางไปถ่ายมาเกือบจบซีซันแล้ว เราถามตัวเองว่ายังมีที่ไหนที่อยากทำอีกไหม ตอนนี้คือไม่มีแล้ว ที่อยากทำผมถ่ายไปหมดแล้ว อาจจะเหลือเรื่องในเมืองไทยที่ผมอยากทำคือเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนใต้ เรื่องผู้หญิงบริการ วงการค้ากาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้คงทำออกทางทีวีไม่ได้ แต่คงเปลี่ยนมาทำออนไลน์ ทำเสร็จอยากออนเมื่อไรก็ทำ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับบอร์ด อยู่กับผังรายการ ไม่ต้องเซนเซอร์ ไม่ต้องมีสปอนเซอร์ก็ได้ เพราะทำอยู่ในเมืองไทยมันไม่ได้ใช้เงินอะไรมากมายอยู่แล้ว ผมอาจจะยังมีโปรเจกต์เหล่านี้ค้างอยู่ในหัว แต่หลักๆ คือพักครับ เพราะตอนนี้ผมใช้พลังไปสุดขีดแล้วจริงๆ (หัวเราะ)

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising