ดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ ปิดตลาดแดนบวกในวันพุธที่ผ่านมา (11 กันยายน) ด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ช่วยชดเชยความผิดหวังของตลาด หลังตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นอย่างไม่คาดคิดในเดือนสิงหาคม ทำให้โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้ามีน้อยลง
ดัชนีเทคโนโลยี S&P 500 ปิดตลาดสูงขึ้น 3.3% หลังจากที่เปิดตลาดในแดนลบ โดยหุ้น NVIDIA บริษัทผู้ผลิตชิป AI ยักษ์ใหญ่เพิ่มขึ้น 8% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานของ Semafor ที่ระบุว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ NVIDIA ส่งออกชิปขั้นสูงไปยังซาอุดีอาระเบีย
พัฒนาการทางการเมืองหลังจากการดีเบตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เต็มไปด้วยความเข้มข้น ระหว่าง คามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต และ โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ยังผลักดันให้ความเชื่อมั่นของตลาดดีขึ้นอีกด้วย
ก่อนหน้านั้นกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ไม่รวมส่วนประกอบของอาหารและพลังงานที่มีความผันผวน เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งออกมาเหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.2%
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในสหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นอย่างไม่คาดคิดในเดือนสิงหาคมเนื่องมาจากราคาที่อยู่อาศัยและการเดินทางที่สูงขึ้น ทำให้นักลงทุนมองว่าโอกาสน้อยลงที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกในสัปดาห์หน้า
แม้ว่ารายงานเงินเฟ้อเมื่อวันพุธที่ผ่านมาจะไม่สามารถหยุดยั้งโอกาสที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้าได้ แต่ก็ช่วยลดโอกาสที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกลงอย่างมาก นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสประมาณ 85% ที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% โดยเพิ่มขึ้นจาก 66% เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (10 กันยายน) และความน่าจะเป็นที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% เหลือ 15% จาก 34% ตามข้อมูล FedWatch ของ CME Group
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงตลาดโดยรวมเมื่อวานนี้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 124.75 จุด หรือ 0.31% สู่ระดับ 40,861.71 จุด ดัชนี S&P 500 ปรับตัวสูงขึ้น 58.61 จุด หรือ 1.07% สู่ระดับ 5,554.13 จุด และดัชนี NASDAQ Composite เพิ่มขึ้น 369.65 จุด หรือ 2.17% สู่ระดับ 17,395.53 จุด
ซึ่ง 6 ใน 11 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่อยู่ในดัชนี S&P 500 ปรับตัวสูงขึ้นในวันนี้ (12 กันยายน) โดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากกลุ่มเทค โดยเพิ่มขึ้น 1.3% ในขณะที่กลุ่มที่ปรับตัวลงมากที่สุด ได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงานที่ลดลง 0.93% ตามมาด้วยกลุ่มสินค้าจำเป็นที่ลดลง 0.88% หุ้น GameStop ร่วงลงเกือบ 12% หลังจากบริษัทค้าปลีกวิดีโอเกมรายนี้เปิดเผยว่าได้ยื่นขอเสนอขายหุ้นสูงถึง 20 ล้านหุ้น และรายงานรายได้ไตรมาสที่ 2 ลดลง
ทรัมป์และแฮร์ริสพบกันครั้งแรกในฐานะผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังจากการดีเบตทางทีวีที่เพนซิลเวเนียเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา โดย BBC เผยว่าพรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายชนะในการโต้วาทีที่ดุเดือดครั้งนี้ สิ่งนี้ส่งผลให้หุ้นที่คาดว่าจะทำผลตอบแทนได้ดีภายใต้การบริหารของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลและบล็อกเชน นอกจากนี้หุ้นของ Trump Media & Technology Group (DJT) ยังร่วงลงมากถึง 10.5%
ในขณะเดียวกัน หุ้นพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งมองว่าได้รับประโยชน์จากการบริหารของแฮร์ริสก็พุ่งสูงขึ้น โดย First Solar พุ่งขึ้นถึง 15.2% ในขณะที่ Sunrun เพิ่มขึ้น 11.3% และ SolarEdge Technologies ปรับตัวสูงขึ้น 8.5%
แม้ว่าการอภิปรายครั้งนี้จะทำให้ Wall Street มีความชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นนโยบายสำคัญๆ มากขึ้น แต่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าข้อเสนอของแฮร์ริสในการขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัท ขณะที่จุดยืนที่เข้มงวดยิ่งขึ้นของทรัมป์ในเรื่องภาษีศุลกากรอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
อ้างอิง: