×

บอกเล่าการเดินทางที่เหมือนฟืนเติมไฟการทำงานของช่างภาพ พจน์ Sixtysix ผ่านนิทรรศการ ‘Visual Diary’ [Advertorial]

01.07.2019
  • LOADING...

ในยุคสมัยที่การเดินทางไปต่างแดนง่ายกว่าการจราจรในเมืองหลวง บางคนเดินทางเพื่อค้นหาตัวตน บางคนเดินทางเพื่อแบ่งปัน บางคนต้องการหลีกหนี และอีกหลากหลายเหตุผลที่ทำให้คนเราออกจากบ้านไปสู่ที่ใหม่ สำหรับช่างภาพอย่างเช่น พจน์-พรพจน์ กาญจนหัตถกิจ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘พจน์ Sixtysix Visual’ การเดินทางเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขาอย่างแยกไม่ออก และการเดินทางตลอดสี่ปีในห้าประเทศ พร้อมกล้อง Leica คู่ใจได้ถูกบอกเล่าผ่านภาพถ่ายในนิทรรศการ ‘Visual Diary’ ที่ Leica Gallery ห้างเกษร

 

หลายคนอาจจะรู้จักชื่อของ ‘พจน์ Sixtysix’ ผ่านผลงานภาพถ่ายงานแต่งงาน และภาพพอร์เทรต แต่วันนี้ทาง THE STANDARD POP ชวนช่างภาพคนนี้วางกล้องเพื่อพูดคุยทำความรู้จักถึงตัวตน ชีวิตเบื้องหลังม่านชัตเตอร์ผ่านภาพถ่ายและการเดินทาง

 

 

ที่มาที่ไปของนิทรรศการ ‘Visual Diary’

 

นิทรรศการนี้เหมือนเป็น Journey ของเรา อย่างหลายคนที่รู้จักกันจะรู้ว่าเราทำงานเกือบทั้งปี ชีวิตช่างภาพคือไม่มีวันหยุด วันหยุดคือทำรูป แต่มันจะมีช่วงว่างอยู่ช่วงเดียวที่กว้างๆ เลยก็คือช่วงสงกรานต์ ทำให้เราได้เที่ยวปีละหนึ่งครั้ง นอกจากมีทริปไปถ่ายรูปกับลูกค้าต่างประเทศ มันก็เลยกลายเป็นว่าสี่ปีก็ได้เที่ยวประมาณสี่รอบ จะมีประเทศหลักๆ อยู่สี่ถึงห้าประเทศ ถ้านับประเทศไทยด้วยนะครับ

 

รูปพวกนี้ก็ได้มาจากการที่เราเที่ยวตอนรีแล็กซ์ที่สุด ตอนเรารู้สึกเป็นตัวของตัวเองที่สุด มันไม่มีบรีฟ ไม่มีโจทย์อะไรมาบังคับเราให้ถ่าย รูปที่ถ่ายคือรูปที่เราอยากถ่ายเองทั้งหมด เพราะฉะนั้นรูปพวกนี้คือรูปที่เรารักที่สุด แล้วมันก็เป็นเหมือนฟืนที่มาเติมไฟในการทำงานตอนเรากลับมาอีกทีหนึ่ง และเราจะ Look forward ไปถึงเวลาที่เราจะได้เที่ยวอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ได้ถ่ายอะไรที่อยากถ่ายจริงๆ มันก็เลยเป็นเหมือนกับไดอารี ก็เหมือนชื่อ Exhibition เป็นไดอารีแต่ละปีของผม ว่าปีไหนไปไหนมาบ้าง แล้วปีนั้นไฮไลต์ของแต่ละทริปคืออะไร

 

ในความคิดเรามองรูปที่มีความหมาย หรือที่ประสบความสำเร็จจริงๆ คือรูปที่สามารถดึงเรากลับไปในช่วงเวลาพวกนั้นได้ มันไม่จำเป็นต้องเป็นรูปที่สวยงาม ตั้งกล้องถ่ายรอเวลานานๆ อะไรอย่างนั้น บางรูปก็มีความหมายสำหรับเรา บางรูปมันสอนเราตอนถ่าย ทำให้เรารู้เรื่องราว สถานที่ต่างๆ มันสอนว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร

 

ไม่รู้จะตอบยากไหมถ้าให้เลือกภาพที่ชอบที่สุดในนิทรรศการนี้

 

ตอบยาก เพราะว่าเรารักภาพพวกนี้มาก แล้วเราถ่ายตอนที่เราเป็นตัวของตัวเองที่สุด มันอยู่ที่ว่าช่วงเวลาของชีวิตนั้นเราชอบภาพไหน อย่างเช่นช่วงเวลาของชีวิตนี้เราชอบรูปบอลลูน เพราะว่าบ้านเมืองมันวุ่นวาย ชีวิตมันวุ่นวายมาก แล้วเวลาเราดูรูปนี้เรารู้สึกรีแล็กซ์ เรารู้สึกสบายตา ไม่ต้องคิดอะไรมาก แล้วมันรู้สึกเย็นเพราะเป็นภูเขาน้ำแข็ง มันรู้สึกรีแล็กซ์และสบายที่สุด ถ้าช่วงนี้นะ ถ้าภายในเดือนนี้ แต่ว่าอาทิตย์หน้าก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็นอีกรูปหนึ่ง อีกอาทิตย์หนึ่งก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็นอีกรูปหนึ่ง มันแล้วแต่ช่วงชีวิตของเรา แล้วถ้าเราอยากจะดึงอันนี้ขึ้นมานั่งดูให้รู้สึกดี เราก็จะดึงมันขึ้นมา

 

 

ทริปที่ประทับใจที่สุด

 

นิวซีแลนด์คือประเทศที่ประทับใจที่สุด แต่ว่าแต่ละประเทศมีความประทับใจของเขา อย่างเช่น เนปาล มันไม่ได้มีความประทับใจเลย แต่ว่ามันสอนชีวิตเราเยอะมาก สอนให้เรารู้ว่าในโลกนี้มีคนที่ลำบากกว่าเราเยอะ ทำให้เราไม่อยากจะบ่นเรื่องอะไรอีกแล้ว เพราะว่าเรื่องของเราที่เคยบ่นมันดีกว่าเขาเยอะ เพราะฉะนั้นมันประทับใจกันคนละแบบมากกว่า แต่ว่าถ้าเกิดจะเอาความสวยงาม และความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจ ก็คงต้องเป็นนิวซีแลนด์ เที่ยวเป็นโรดทริป เช่ารถขับสิบเอ็ดวันลงช่วงใต้ เสร็จแล้วก็ไปอีกฝั่งหนึ่งของเกาะ ทิ้งรถไว้เลยแล้วก็นั่งเครื่องบินกลับมาเพื่อที่จะเห็น Aerial View ของนิวซีแลนด์ ซึ่งเราตั้งใจอย่างนั้น เพราะเรายังเหลือครึ่งบนเก็บไว้ ไม่อยากเที่ยวทีเดียวแล้วหมดเลย คืออยากกลับไปใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะเราชอบประเทศนี้มาก

 

 

ทริปในฝัน ประเทศหรือเมืองที่อยากไป 

 

ยังไม่ได้ไปก็กาลาปากอส และโบราโบรา ที่มัน Exotic หน่อย อีกเมืองหนึ่งที่อยากไปมาก และได้ไปมาแล้วก็คือโดฮา เราเคยฝันอยากไปทะเลทราย แล้วกาตาร์แอร์เวย์สก็มาชวนเราไปกับเพื่อนที่เรารู้จักอีกสี่คน ซึ่งมันก็เพอร์เฟกต์ เราก็เลยได้ไปมาเรียบร้อย แต่ว่าอยากกลับไปดูใหม่ เพราะว่าช่วงเวลานี้เขากำลังเตรียมตัวสำหรับเวิลด์คัพในอีกสามปี แล้วทุกอย่างมันจะต้องสวยขึ้นมาก เพื่อรองรับการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นหลังสามปีเราจะกลับไปใหม่ แล้วก็ไปดูใหม่อีกทีหนึ่ง เพราะว่าสถาปัตยกรรมมันหลากหลายมาก ทุกอย่างมันร้อยเปอร์เซ็นต์ ประเทศเขารวยไง เขาก็เลยให้ทุกอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็เลยคิดว่าจะไปดูก่อนที่มันจะล้นประเทศ

 

ทะเลทรายของจริงต่างจากที่ฝันหรือเปล่า

 

ไม่ต่าง แต่ว่าไม่ได้นึกถึง คือทะเลทรายเราก็นึกว่ามันเป็นทะเลทรายที่เรียบๆ สวยงามแบบในรูปที่เขาถ่ายกันมา แต่พอไปถึงแล้ว พวกหลุม พวกความลึก ความตื้นของเนินมันหลากหลายมาก บางอันลึกเท่าตึกสิบชั้นอย่างนี้ มันก็เลยรู้สึกถึงความอลังฯ ของทะเลทราย ตอนแรกเราคิดว่ามันสวย เราไม่ได้คิดว่าทะเลทรายเป็นอะไรที่อลังฯ นึกแค่เป็นเหมือนหาดที่มันใหญ่ๆ แต่ว่าพอไปถึงแล้วมันกลายเป็นเหมือนกับภูเขา ภูเขาทรายหลายๆ ลูก แล้วก็สลับสีกันไปเวลาแสงลง เราว่ามันสวยดี ตอนแรกยังนึกในใจว่าจะถ่ายอะไรได้ เพราะว่ามันก็เหมือนกันหมดทุกมุม แต่พอไปถึงจริงๆ แล้วค่อนข้างหลากหลายอยู่ ตื่นตาตื่นใจนิดหนึ่ง รู้สึกยังถ่ายไม่ค่อยเสร็จ และยังอยากกลับไปถ่ายอีก มันมีหลายมุมมากที่เราอยากถ่าย ใช้ทั้งกล้อง ใช้ทั้งโดรน แล้วเขาก็มีให้เรานั่งรถโฟร์วีลไดรฟ์ ขึ้นลงเขาพวกนี้เหมือนเป็นรถไฟเหาะ คือด้านข้างไหลลงไปเหมือนมันจะคว่ำ เออ สนุกดี ก็แปลกดีมีอะไรหลายอย่างให้ทำในทะเลทรายที่ไม่มีอะไรเลย (หัวเราะ)

 

โดฮา

 

ประสบการณ์การใช้บริการ Qsuite ไปโดฮา

 

ทางกาตาร์แอร์เวย์ส‎ชวนไปทริปโดฮา 4 วัน 3 คืน กับบริการ Qsuite ซึ่งตอนแรกเราก็นึกว่ามันเป็น Business Class ก็คือเก้าอี้ใหญ่ๆ จอใหญ่ๆ ไม่มีอะไร แต่ Qsuite ของเขามันเหมือนกับที่นั่ง First Class ของบางสายการบิน และมันเจ๋งตรงที่พอเราไปสี่คนและเป็นช่างภาพทั้งหมด เขาก็จัดให้เรานั่งใน Suite ที่เก้าอี้หันเข้าหากัน แล้วพาร์ทิชันเปิดออกมาเป็นเหมือนห้องประชุมได้ ทุกคนก็มองเห็นกันหมดสี่คน เวลาบิน 6 ชั่วโมงก็เลยผ่านไปเร็วพอสมควร เพราะเล่นกันตลอดทาง ไอ้โน่นก็ถ่ายรูปไอ้นี่ ไอ้นี่ก็ถ่ายรูปคนนี้ คนนี้ก็ถ่ายรูปคนนั้น ไม่มีใครกล้านอนเพราะกลัวโดนแกล้ง (หัวเราะ) เกินความคาดหวังว่ามันจะเป็น Cubicle สำหรับสี่คน อย่างมากก็สองคนข้างๆ เปิดติดกันได้ก็โอเคแล้ว แต่นี่คือเป็นเตียงนอนเลย แล้วก็สี่คนเปิดเห็นกันหมดเลยก็สนุกดี เราว่ามันคุ้มนะสำหรับ Qsuite และเมื่อเทียบกับ First Class ของบางสายการบินที่เราจ่ายอยู่ ยังบอกแฟนอยู่เลยว่าอยากมาใหม่ ราคาโอเค ถูกกว่าราคา First Class ของหลายๆ สายการบิน แล้วก็สบายกว่า และให้เราบอร์ดขึ้นเครื่องเร็วขึ้นประมาณชั่วโมงหนึ่ง เพื่อที่เขาจะได้เซอร์วิสให้เราอย่างเต็มที่ คือมีทั้งขนม น้ำ อะไรเต็มไปหมด ปูโต๊ะให้ เลือกเปิดปิดพาร์ทิชันได้ ทำให้ช่วงเวลาที่เราเคยเบื่อที่สุดในการรอขึ้นเครื่อง กลายเป็นช่วงเวลาที่เราเฝ้ารอในการเดินทาง

 

ประสบการณ์ทริปโดฮา

 

พอไปถึงโดฮาแล้วพบว่าบ้านเมืองสวยหมด เป็นระเบียบมาก แล้วก็อย่างที่บอกว่าสถาปัตยกรรมของเขาหลากหลาย จนมันเลือกชมได้สบายตา เทคโนโลยีทุกอย่างใหม่หมด และตึกแต่ละตึกก็ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง อย่างเช่นมีตึกหนึ่งก็เป็นคนเดียวกับที่ดีไซน์ The Louvre ที่ปารีส ที่เขาเพิ่งเสียไป เราก็ได้ชมไปเรื่อยๆ มันเหมือนกับได้ชมทั้งตึกและก็ทั้งข้างในที่เป็นนิทรรศการ แต่ละที่เขาทำดีมากๆ เทคโนโลยีเต็ม มีทั้งโปรเจกเตอร์ มีทั้งรูปปั้น เพลินดี อยู่ได้ทั้งวัน ซึ่งสี่วันสามคืนก็ยังไม่หมด อย่างทะเลทรายจริงๆ แล้วดูเหมือนไม่มีอะไร แต่อยากได้สักสองวัน วันเดียวเหมือนกับว่ามันไม่พอ มันยังมีแสงอื่นที่เราอยากได้ อยากรู้ว่าเวลาพระอาทิตย์ขึ้นทรายพวกนี้จะเป็นอย่างไร เวลาพระอาทิตย์ตกทรายพวกนี้สีจะเป็นอย่างไร มันยังมีอีกหลายอย่าง อยากกลับไปอยู่ แต่อย่างที่บอกว่าเดี๋ยวรอให้เขาพัฒนาไปอีกนิดหนึ่ง ให้มันแตกต่างขึ้นมาอีกนิด แล้วค่อยกลับไปใหม่

 

 

การเดินทางมีผลต่อตัวเอง และงานช่างภาพอย่างไร

 

อย่างที่บอก การเดินทางก็เหมือนเป็นฟืนมาเติมไฟเรา เราได้ถ่ายอะไรที่อยากถ่าย ยิ่งเราเห็นเยอะเท่าไรงานเราก็จะยิ่งหลากหลายมากเท่านั้น ส่วนหนึ่งเราคิดว่าที่มาถึงจุดนี้ได้เพราะว่าเราเรียนอังกฤษมา ตลอดสิบห้าปีเราเห็นอะไรเยอะมาก และอังกฤษเป็นประเทศที่มิวเซียมเยอะ มี National Portrait Gallery มี The Tate ทำให้เราเห็นงานของทั้งโลกมารวมๆ กันในเมืองนี้ แล้วเราก็เลือกเอาว่าชอบแบบไหน แล้วก็ศึกษาทางนั้น ใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ไปทางนั้น แล้วก็ค้นหาตัวเอง ถ้าเราไม่เคยเดินทางเลย เราก็จะไม่รู้ว่าแบบนี้มันมีอยู่ด้วยนะ

 

สิ่งที่ยากที่สุดของช่างภาพคือการหาซิกเนเจอร์ของตัวเอง การที่จะให้คนมามองภาพแล้วแบบ ‘เฮ้ย อันนี้พี่พจน์ถ่าย’ มันยากมาก แล้วสิ่งพวกนี้จะช่วยให้เราหาซิกเนเจอร์ของเราได้ ถ้าเรามัวแต่ไปหาซิกเนเจอร์ในที่ที่เดียว มันก็มีอยู่แค่นั้น แต่ว่าถ้าเราเห็นเยอะขึ้น ใช้เวลาเดินทางเยอะขึ้น ประสบการณ์เป็นอะไรที่เงินซื้อไม่ได้นะ เราควรเอาเงินไปซื้อทริปพวกนี้ เพื่อที่จะได้เพิ่มเติมประสบการณ์ ดีกว่าไปนั่งซื้ออุปกรณ์สิ่งของอะไรต่างๆ แล้ววันหนึ่งมันก็หายไป มันก็เหมือนฟืนที่ต้องมาเติมไฟตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นก็จะตัน 

 

 

คำแนะนำสำหรับคนที่ชอบเดินทางและชอบถ่ายรูป

 

จริงๆ แล้วกล้องที่ดีที่สุดอย่างที่เขาบอกคือกล้องที่อยู่กับตัวเรา ซึ่งก็คือมือถือ แต่ว่ามือถือถ่ายได้แค่ระดับหนึ่ง ซึ่งมันไม่ใช่ระดับที่จะมาดึงความรู้สึก ไฮไลต์ แสงสีเสียง ได้ตรงเท่ากับกล้องที่เขาพัฒนาขึ้นมาเพื่อจะแคปเจอร์สิ่งพวกนี้ แล้วตั้งแต่พี่ใช้มาทุกแบรนด์ก็คือ Leica ที่พี่เปลี่ยนมาคือไม่ได้เปลี่ยนเพราะว่าเป็นกล้องที่แพง แต่ว่าลองมาหมดแล้วจริงๆ มันให้สีให้แสงตรงกับสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด Dynamic Range ความลึก ความตื้น แล้วมันแคปเจอร์ความรู้สึกได้ดีกว่า เราก็เลยคิดว่าเลือกแบรนด์นี้เพราะว่ามันเล็ก มันคอมแพกต์ ไปไหนมาไหนกับเราได้ พอคนเห็นเขาก็อยากถ่ายรูปกับเรา และการเดินทางเราว่าเอากล้องตัวเล็กๆ ไป ไม่ต้องใช้เลนส์เยอะแยะมากมาย แล้วก็ถ่ายความรู้สึกของตัวเอง อย่าไปพยายามถ่ายเพื่อโซเชียลมีเดีย เพราะมันจะกลายเป็นว่าคุณคือหนึ่งในร้อยอีกเหมือนเดิม มันไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณต้องการ หรือเป็นความรู้สึกของคุณตอนนั้นจริงๆ

 

ในฐานะช่างภาพ รู้สึกอย่างไรถ้าต้องเลือกระหว่าง ‘Live the moment’ กับ ‘Capture the moment’

 

เราคิดว่างานช่างภาพเป็นงานที่สำคัญที่สุดงานหนึ่งในโลก ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็คือรูปภาพ รูปภาพที่เราจะทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง ให้ลูกหลานดูว่าโลกเรามันเป็นอย่างไร มันเคยมีอะไรในโลกบ้าง ปู่ย่าตายายเราหน้าตาเป็นอย่างไร พ่อแม่เราหน้าตาเป็นอย่างไร เวลาเราไปแล้วลูกหลานเราก็เก็บไว้ดูว่าเราเป็นคนอย่างไร เพราะฉะนั้นโมเมนต์ที่เรียล โมเมนต์ที่ทรู สำคัญกว่าโมเมนต์ที่สวยงามบางอัน อย่างเช่นตอนนี้ฝนตก ตอนนี้แดดออก มันก็สอนให้คนภายหลังเขารู้ว่าอะไรมันผ่านมาบ้าง 

 

เราคิดว่าถ้า Live the moment ก็ไลฟ์ได้ แต่ว่าไลฟ์แล้วอย่างไร ไลฟ์แล้วคุณรู้คนเดียว ถ้าคุณตายไปจะเกิดอะไรขึ้น ขนาดบรรพบุรุษเราไม่มีกล้อง เขาก็ยังวาดบนฝาผนัง ยังเขียนไดอารี พยายามทำอะไรก็แล้วแต่เพื่อให้คนรุ่นนี้ศึกษาเขาได้ เพราะฉะนั้นเราก็ควรสืบทอดมาด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ ซึ่งก็คือรูป เราก็ควรแคปเจอร์เก็บไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้ดู เราคิดว่ามันเป็นวงจรชีวิตมากกว่า เป็นหน้าที่ของช่างภาพ เราก็เลยเลือกที่จะเป็นช่างภาพ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่จริงๆ อย่างงานแต่งเป็นต้น ไม่ว่างานคุณจะร้อยล้านพันล้าน สิ่งที่เหลือก็คืออยู่บนรูปภาพ 

 

เราว่า ‘Capture the moment’ ดีกว่า ไม่ว่ามันจะสวยหรือไม่สวย ไม่ว่ามันอันเดอร์หรือโอเวอร์หรืออะไรก็แล้วแต่ เก็บไว้ก่อน เราไม่เคยลบรูปเลยตั้งแต่ถ่ายมาสิบปี เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์เป็นสิบๆ ลูก เราสามารถกลับไปดูได้ว่าใครเคยเป็นแฟนใคร ใครเป็นอย่างไร ดูได้หมด (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นพี่ว่ามันสำคัญ เพราะในอนาคตถ้าพี่ไม่อยู่ หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับคนนั้นคนนี้ เรายังมีรูปมาให้เขาดูได้ว่าเขาเป็นคนอย่างนี้

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X