ช่วงต้นปีแบบนี้ หากใครยังมองหาสินทรัพย์ลงทุนที่โดดเด่น เพื่อเป็นการกระจายการลงทุนให้แก่พอร์ต ผมอยากชี้โอกาสการลงทุนแห่งทศวรรษให้คุณเลือกครับ เพราะผมยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นเวียดนามปีนี้อยู่ แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาเวียดนามจะเผชิญกับมรสุมรุมเร้าหลายระลอก
ที่สำคัญตลาดหุ้นร่วงแรงกว่า 30% เมื่อปีที่แล้ว ถามว่าราคาถูกหรือยัง โอกาสได้ผลตอบแทนคุ้มกับความเสี่ยงแค่ไหน ยิ่งเมื่อต้นปีนี้เพิ่งมีข่าวร้ายช็อกโลก! ประธานาธิบดีเวียดนามลาออก แล้วทำไมผมยังมาเชียร์ตลาดหุ้นเวียดนามอยู่อีก เวียดนามยังมีดีอะไรรออยู่ข้างหน้าบ้างหรือ? ผมขอให้มุมมองอย่างนี้ครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เกิดอะไรขึ้นกับ ‘ฮ่องกง’ ทำไมสถานะ ‘ศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย’ กำลังถูกสั่นคลอน และอาจกลายเป็นแค่อดีต
- ส่องกรณีศึกษาการเติบโตของ เศรษฐกิจสิงคโปร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่รออยู่ข้างหน้า
- เปิดจุดเด่น เวียดนาม หลังจ่อขึ้นแท่นประเทศที่คว้าชัยในยุค Deglobalization
1. ปัญหาการเมือง สวนทางตลาดหุ้นเวียดนามดีดขึ้นแรง รับเศรษฐกิจโตปี 2023
แน่นอนครับว่าข่าวการเมืองการปกครองเรื่อง การลาออกของ Nguyen Xuan Phuc ประธานาธิบดีเวียดนาม เมื่อช่วงวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ย่อมส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางด้านการเมืองและกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน
โดย Nikkei วิเคราะห์ว่า “การลาออกของ Phuc เป็นการแสดงความรับผิดชอบเรื่องทุจริตที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด โดยก่อนหน้ามีรองนายกฯ ลาออกถึง 2 คนด้วยเหตุผลเดียวกัน”
และการลาออกในครั้งนี้อาจกระทบต่อเศรษฐกิจเวียดนามในระยะสั้น นักลงทุนจึงขาดความเชื่อมั่นและรอความชัดเจนด้านนโยบายว่า ประธานาธิบดีคนใหม่จะสนับสนุนการลงทุนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจเหมือนเดิมหรือไม่ ซึ่งคาดกันว่า Nguyen Phu Trong ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนาม จะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป
เชื่อหรือไม่ครับ ตลาดหุ้นเวียดนามแทนที่จะปรับตัวเป็นขาลง แต่กลับมีแรงซื้อจากต่างชาติไหลเข้าไม่หยุด จนทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามบวกแรงในช่วงเวลานั้น น่าจะสะท้อนได้ว่านักลงทุนมองการลาออกของ Phuc เป็นสัญญาณดีต่อความเข้มงวดเรื่องการทุจริตมากขึ้นก็เป็นได้
ผมมองภาพสะท้อนการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีใหม่ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในระยะข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเดิมหรือนโยบายใหม่ เวียดนามมีเป้าหมายหลักอยู่แล้ว คือการมุ่งสู่เวทีนานาชาติ เตรียมก้าวขึ้นเป็นประเทศชั้นนำระดับภูมิภาคและระดับโลกในอนาคตอย่างชัดเจน
ด้านสำนักงานสถิติเวียดนามได้คาดการณ์ GDP ปีนี้เติบโต 6.5% ด้าน IMF หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ยังคงคาดการณ์ GDP ปีนี้เติบโต 6.2% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในอาเซียน ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ตอกย้ำศักยภาพการเติบโตของหุ้นเวียดนามยังคงมีอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่ต้องการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก
ดังนั้นบริษัทต่างชาติยังคงมองเวียดนามเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ในการตั้งฐานการผลิต ส่งผลให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างที่คุณได้เห็น ถึงแม้ว่าระหว่างทางปัญหาด้านการเมืองของเวียดนามจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่มันจะส่งผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น แต่เป้าหมายระยะยาวของเวียดนามยังคงเดิมและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้เวียดนามก็ยังมีประเด็นความเสี่ยงที่ต้องระวัง เกี่ยวกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่คาดไว้ที่ 5.3% การขาดดุลการคลังอาจยังคงอยู่ การคาดการณ์ธนาคารกลางเวียดนามมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อรักษาเสถียรภาพเงินดองเวียดนามที่ผันผวน แต่หากค่าเงินดองมีเสถียรภาพมากขึ้น ก็มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ความไม่มั่นคงทางการเงินที่เกิดจากความเสี่ยงภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้จะได้รับการแก้ไขปัญหาจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ แต่อาจต้องใช้เวลา
2. เส้นทางการเติบโตเศรษฐกิจ กำไรบริษัทหนุนตลาดหุ้นไปต่อ
หากมองย้อนเศรษฐกิจเวียดนามในช่วงหลายปีก่อน มีทิศทางการเติบโตสูงมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงปี 2016-2020 มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 5.9% ต่อปี สูงสุดในโลก ด้วยจุดแข็งมีประชากรจำนวนมากเกือบ 100 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน ซึ่งมีค่าแรงถูกและมีอำนาจซื้อสูง ทำให้ภาคการบริโภคภายในประเทศยังแข็งแกร่ง
อีกจุดแข็งใหญ่ของเวียดนามคือภาคการผลิตที่แข็งแกร่ง เวียดนามเนื้อหอมมากในช่วงที่เกิดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน นักลงทุนต่างชาติย้ายออกจากจีน เบนเข็มทิศเข้าลงทุนโดยตรง ตั้งฐานการผลิตกันอย่างต่อเนื่อง จนถึงทุกวันนี้ เวียดนามขึ้นแท่นประเทศที่มีเงินลงทุนโดยตรง (FDI) ไหลเข้าประเทศมากสุด และถูกยกให้เป็นโรงงานแห่งใหม่ของโลก
ในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด เวียดนามก็ได้รับผลกระทบหนักจากการปิดประเทศเช่นกัน ส่งผลให้ GDP ปี 2021 ขยายตัว 2.84%
ในปี 2022 เศรษฐกิจเวียดนามกลับมาเติบโตสูงถึง 8.02% ถือเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงที่สุดในเอเชีย เนื่องจากรัฐบาลได้ผ่อนคลายนโยบายการควบคุมโควิดตั้งแต่เดือนมีนาคม มีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ทำให้เศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคท่องเที่ยว ภาคการบริโภค พลิกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
ส่วนภาคการผลิต บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยังแห่ตั้งฐานการผลิตในเวียดนาม โดยเฉพาะบริษัท Samsung เวียดนาม ซึ่งถือเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ยังปักหลักลงทุนในเวียดนามอยู่ และปีที่แล้วเพิ่งเพิ่มเงินลงทุนอีก 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวม FDI ในปีที่แล้ว มูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศในเวียดนาม คาดอยู่ที่ประมาณ 2.24 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวสูงถึง 13.1% จากปี 2021 ถือเป็นยุคทองของเวียดนาม
แม้ว่าปีที่แล้วเศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวได้สูงที่สุดในรอบ 25 ปี นับตั้งแต่ปี 1997 แต่ตลาดหุ้นเวียดนามกลับประสบมรสุมหนัก โดยในปี 2022 ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม (VNI) ปรับตัวร่วงค่อนข้างหนักถึง 30% เนื่องจากช่วงเดือนเมษายนมีการจับปั่นหุ้นของผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ในเวียดนามและนักลงทุนรายใหญ่ ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลและเทขายหุ้นออกมามากขึ้น แถมถูกซ้ำเติมจากธนาคารกลางเวียดนามที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้ดอกเบี้ยในตลาดเงินปรับตัวขึ้นสูง ทำให้นักลงทุนย้ายเงินออกจากตลาดหุ้นมาฝากเงิน ยิ่งกระทบต่อตลาดหุ้นให้ปรับตัวลดลง ท่ามกลางตัวเลขผลกำไรของริษัทต่างๆ ไม่ได้ถูกกระทบมากนัก แต่ก็ไม่สามารถประคองตลาดหุ้นได้
สำหรับปี 2023 แนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามฉายแววการเติบโตแบบทิ้งห่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน และสามารถโชว์ศักยภาพการเติบโตมหาศาล ถือเป็น Rising Star แล้วตลาดหุ้นจะไปทางไหน เริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์หรือไม่
3. ทำไมเวียดนามฉายแววโอกาสลงทุนแห่งทศวรรษ
ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 (YTD) ดัชนี VNI ได้ปรับตัว 6.47% (ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์) หลังจากปีที่แล้วตลาดหุ้นเวียดนามร่วงกว่า 30% ซึ่งพ่ายแพ้ให้กับอารมณ์ตื่นตระหนกของนักลงทุนทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานยังแน่นก็ตาม ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วไป ยิ่งถ้าเป็นตลาดหุ้นชายขอบหรือ Frontier Market ที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานปี ก็จะเผชิญมรสุมความผันผวนแรงกว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่หรือ Emerging Market และตลาดหุ้นที่พัฒนาในประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐฯ ยุโรป หรือญี่ปุ่น
ปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนามจัดเป็นตลาดหุ้นชายขอบที่มีขนาดใหญ่สุดในกลุ่ม Frontier Market โดยมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นเวียดนามมีสัดส่วนใหญ่ถึง 30% ของกลุ่ม Frontier Market
วันนี้ตลาดหุ้นเวียดนามกำลังขึ้นแท่นเป็นผู้นำในตลาดหุ้น ‘ชายขอบ’ ที่รอนักลงทุนผู้กล้าเข้ามาหาโอกาสการลงทุนสร้างผลตอบแทนรับอนาคต ด้วยความที่เป็นตลาดหุ้นน้องใหม่ เพิ่งพัฒนาได้ไม่นาน แต่มีศักยภาพที่น่าสนใจ และกำลังรุดหน้าเติบโตมุ่งสู่ฐานะตลาดเกิดใหม่
แต่แน่นอนว่าด้วยความที่ตลาดหุ้นเวียดนามเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ทำให้ถูกมองว่ายังเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงในการลงทุนสูง ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ สภาพคล่องในระบบการเงิน กฎเกณฑ์และมาตรฐานการรายงานข้อมูลทางการเงิน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจ รวมถึงรายได้ของประชากรในประเทศ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ได้เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นเวียดนามไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคตนะครับ เพราะโลกการลงทุนมีแต่ความไม่แน่นอนสูงครับ
สำหรับผมแล้ว ‘ที่ใดมีความผันผวน ที่นั่นก็มีโอกาสอยู่’ วันนี้ตลาดหุ้นได้รับรู้สะท้อนข่าวจนเรียกว่า ตลาดหุ้นเวลานี้น่าจะอยู่ก้นกระทะที่รอวันฟื้นคืนชีพ ภายใต้ปัจจัยพื้นฐานที่พร้อมหนุนให้เด้งกลับมาแรงเช่นกัน ขณะที่หุ้น IPO ยังเนื้อหอมกว่า 100 บริษัท กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ไม่แพง บริษัทต่างชาติทั่วโลกเดินหน้าเข้ามาลงทุนในเวียดนามไม่ขาดสาย ภาครัฐก็มีนโยบายผลักดันประเทศเข้าสู่ฐานการผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงของโลก
ผมคาดเดาล่วงหน้าให้ไม่ได้ว่าโอกาสจะมาเร็วหรือช้า แต่หากคุณถือลงทุนในระยะยาว อย่างน้อยหากถึงวันเวลาที่ตลาดหุ้นเวียดนามถูกประกาศเป็น ‘ตลาดหุ้นเกิดใหม่’ ขึ้นมา สปอตไลต์จากนักลงทุนทั่วโลกจะสาดส่องมาสว่างยิ่งกว่าวันนี้
แต่ผมก็อยากฝากย้ำการลงทุนในตลาดหุ้นชายขอบ มีความผันผวนได้มากกว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่ ซึ่งก็เป็นไปตามหลักการลงทุน ‘ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงย่อมสูงตาม’ หากคุณต้องการกระจายลงทุนเพื่อสร้างโอกาสผลตอบแทน อย่าลืมว่าคุณต้องทำการบ้านหนักก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ ยิ่งเป็นตลาดหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง ยิ่งต้องมีความรู้ และใช้ความระมัดระวังสูงในการคัดเลือกหุ้นเป็นอย่างดี
หรือถ้าคุณอยากลองหาหุ้นเวียดนามคุณภาพดี ราคาน่าสนใจลงทุน สามารถเข้าไปค้นหาได้ที่ Jitta.com มี Ranking แต่ละประเทศที่ผมจัดอันดับหุ้นน่าลงทุนไว้ครับ หรือหากสนใจรูปแบบกองทุนส่วนบุคคล สามารถเลือกลงทุนใน Jitta Ranking ประเทศเวียดนาม ที่สร้างผลตอบแทนชนะตลาดหุ้นเฉลี่ย 16.26% ต่อปี (ปี 2013-2022) เทียบกับดัชนี VNI Index TR อยู่ที่ 12.21%
ฉะนั้นถ้าคุณสามารถเข้าลงทุนหุ้นเวียดนามตั้งแต่ราคาถูก ย่อมจะได้เห็นโอกาสได้เก็บเกี่ยวกำไรได้ในระยะยาวแน่นอนครับ
ขอให้คุณมีความสุขในการลงทุน และเป็นผู้กล้าที่ชนะอารมณ์ตลาดนะครับ