L Brands แบรนด์แฟชั่นค้าปลีกชื่อดังในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่นว่าบริษัทมีแพลนจะปิดสโตร์ของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในสตรี Victoria’s Secret ลงอีกจำนวน 53 แห่ง ภายในปี 2019 นี้ หลังก่อนหน้านี้เมื่อปี 2018 ได้ดำเนินการปิดสโตร์ไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 30 แห่ง
Stuart Burgdoerfer รองประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารฝ่ายการเงินของ L Brands ได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่บริษัทจำเป็นจะต้องดำเนินการปิดตัวสโตร์ของ Victoria’s Secret ในช่วงประชุมทางไกลเพื่อรายงานผลประกอบการประจำปีเอาไว้ว่า เป็นการพิจารณาจากประสิทธิภาพและผลการดำเนินงานของธุรกิจโดยรวม ที่ Victoria’s Secret ไม่สามารถทำยอดถึงเป้าที่บริษัทวางไว้ และมีตัวเลขรายได้หรือผลประกอบการลดลงเมื่อวัดแบบปีต่อปี
ทั้งนี้ จากรายงานล่าสุดในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาระบุเอาไว้ว่าร้านค้าของ Victoria’s Secret ที่เปิดให้บริการมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งปีมียอดขายลดลงเฉลี่ยถึง 7% โดยผลของการประกาศปิดสโตร์ในครั้งนี้จะเทียบเท่ากับการปิดร้านค้าในสัดส่วน 4.6% ของจำนวนสโตร์ Victoria’s Secret ทั้งหมดทั่วโลก 1,143 แห่ง
ด้าน CNN ประเมินว่าเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้แบรนด์ดังระดับ Victoria’s Secret ประสบความล้มเหลวเป็นผลมาจากการไม่สามารถปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยเฉพาะการผลิตสินค้าประเภทบราแบบ Custom-fitted รวมไปถึงการติดกับดักการทำการตลาดรูปแบบเดิมๆ เน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านเซเลบริตี้คนดังเป็นหลัก ทั้งๆ ที่เทรนด์ของตลาดผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
(ตรงนี้ CNN ขยายความเพิ่มว่า แบรนด์ชุดชั้นในใหม่ๆ มีการประชาสัมพันธ์โดยเอา ‘คน’ และมนุษย์เดินดินทั่วไปมาทำการตลาดเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งได้ใจและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากกว่า)
อย่างไรก็ดี L Brands ก็ยังพอมีข่าวดีให้ชื่นใจอยู่บ้าง เมื่อแบรนด์ในเครือเดียวกัน ‘Bath & Body Works’ ยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องสวนทางกับ Victoria’s Secret โดยมียอดขายในสโตร์เติบโตขึ้นแบบปีต่อปีถึง 12% สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่สินค้าในกลุ่มเครื่องหอมจำเป็นจะต้องลองสินค้าหน้าร้าน ทำให้พวกเขาเตรียมงบลงทุนมาพัฒนาโปรเจกต์ White Barn มากขึ้นในปีนี้
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: