เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา L Brands บริษัทแม่ของ Victoria’s Secret และ Bath & Body Works ออกมาเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2021 ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2020
โดยยอดขายทั้งหมดของบริษัทในช่วง 3 เดือนแรกอยู่ที่ 3,023 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 94,850 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2020 ที่เคยทำไว้ 1,654 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 51,900 ล้านบาท ซึ่งตรงกับช่วงที่ทุกประเทศทั่วโลกเข้าสู่การล็อกดาวน์ และเพิ่มขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2019 ที่ยังไม่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
และหากแยกเป็นรายแบรนด์จะพบว่า รายได้ดังกล่าวค่อนข้างที่จะแบ่งครึ่งกัน แต่ผลงานของแบรนด์ Bath & Body Works กลับดีกว่า เนื่องจากมีสาขามากถึง 1,752 ร้าน และทำรายได้ให้บริษัทไปทั้งสิ้น 1,469 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 3 เดือนแรกของปี 2020 ที่ทำไปได้ 760 ล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้น 25.9%
ส่วน Victoria’s Secret ที่มีร้านค้าของบริษัททั้งหมด 929 ร้าน ถึงแม้จะสร้างรายได้มากกว่าที่ 1,554 ล้านดอลลาร์ เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วที่เคยทำไว้ 893 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียงคิดเป็น 15.7%
ผลประกอบการที่ดีขึ้นดังกล่าวทางบริษัทได้ให้เหตุผลว่า มาจากทั้งการคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศ บวกกับการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้าที่ได้รับเงินอุดหนุนช่วยเหลือจากทางรัฐบาล และตรงกับช่วงเทศกาลวันแม่ในสหรัฐฯ
ส่วนสถานการณ์ของแบรนด์ชุดชั้นในที่เคยรุ่งเรืองมากอย่าง Victoria’s Secret หลังจากประกาศยกเลิกการจัดแฟชั่นโชว์สุดอลังการไปเมื่อปี 2019 เนื่องจากกระแสในแง่ลบต่อแบรนด์ ทั้งการให้สัมภาษณ์ของ เอ็ด รีแซ็ก ซีอีโอคนก่อนของแบรนด์ ที่ไม่มีนโยบายการใช้นางแบบผู้หญิงข้ามเพศ และกระแสความหลากหลายของรูปร่าง (Body Positivity) ที่แบรนด์ปรับตัวไม่ทันผู้บริโภครุ่นใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทางแบรนด์ก็ได้มีการปรับการสื่อสารเพิ่มขึ้น เช่น มีการใช้นางแบบที่มีรูปร่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น พาโลมา เอลเซสเซอร์ และ จิลล์ คอร์ตเลฟ มาถ่ายคอลเล็กชันใหม่ๆ ของแบรนด์ พร้อมกับช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีข่าวว่าแบรนด์เตรียมจะแยกตัวออกมาจากบริษัทแม่อย่าง L Brands เพื่อมาดำเนินธุรกิจด้วยตัวเอง
ภาพ: Cristina Arias / Cover / Getty Images
อ้างอิง: