Vice Media สตาร์ทอัพด้านสื่อที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความนิยมจนมีมูลค่ามากถึง 5.7 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.9 แสนล้านบาท แต่วิกฤตที่ถาโถมทำให้คาดว่าจะยื่นฟ้องล้มละลายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตามรายงานของ The New York Times
ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของ Vice Media ซึ่งเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่หลากหลาย รวมถึง Vice News, Vice TV, Refinery29 และ Motherboard แม้จะประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้ แต่ Vice Media ก็ประสบปัญหาในการเติบโตและหาผู้ซื้อมาระยะหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสเล็กน้อยที่จะพบผู้ซื้อ ซึ่งจะช่วยให้ Vice หลีกเลี่ยงการล้มละลาย รายงานของ The New York Times ระบุว่า บริษัทมากกว่า 5 แห่งได้แสดงความสนใจในการเข้าซื้อกิจการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเป็นไปได้นี้ดูเหมือนจะลดน้อยลง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สื่อดิจิทัลยังไม่รอด! BuzzFeed เลิกจ้างพนักงาน 180 คน พร้อมปิดเว็บไซต์ BuzzFeed News หันพึ่งพารายได้จาก HuffPost
- BuzzFeed เตรียมนำ ‘ChatGPT’ มาช่วยทำ ‘คอนเทนต์’ ทำราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 150% แต่พนักงานกังวลจะถูกปลดหรือไม่?
- Content (ยัง) is King อยู่ไหม? ในเมื่อโลกออนไลน์ถูก (บังคับ) กำหนดโดย ‘อัลกอริทึม’
ความท้าทายที่บริษัทสื่อใหม่ๆ เช่น Vice เผชิญอยู่นั้น ถูกผนวกเข้ากับสภาพแวดล้อมการโฆษณาที่ยากลำบากและมีการแข่งขันสูง ซึ่งเงินโฆษณาส่วนใหญ่ตกเป็นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Facebook ของ Meta และ Google ของ Alphabet
หาก Vice Media ยื่นฟ้องล้มละลายจริง บริษัทจะเข้าสู่กระบวนการขายภายใต้การดูแลของศาล ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ในระหว่างที่กำลังหาผู้ซื้อทรัพย์สินของบริษัท ขณะที่ Fortress Investment Group ซึ่งเป็นผู้ให้กู้รายใหญ่ที่สุดของ Vice อาจเข้าควบคุมบริษัทได้หลังจากออกจากภาวะล้มละลาย เว้นแต่จะมีผู้ซื้อรายอื่นเข้ามา
สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าการล่มสลายของ Vice Media ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว มันสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในวงกว้างที่บริษัทสื่อใหม่ต้องเผชิญ ซึ่งได้ระดมทุนด้วยมูลค่าที่สูงมาก แต่ก็ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์การโฆษณาที่ยากลำบาก ตัวอย่างเช่น BuzzFeed ซึ่งเป็นบริษัทสื่ออีกแห่งหนึ่งเพิ่งประกาศปิดแผนกข่าวหลังจากที่ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องล้มละลาย Fortress Investment Group อาจจบลงด้วยการเข้าควบคุม Vice Media เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท นักลงทุนรายอื่น เช่น Disney และ Fox ซึ่งได้บันทึกการลงทุนไปแล้ว ไม่น่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน นั่นแปลว่าแทนที่จะได้กำไรก็แปรเปลี่ยนเป็น ‘ขาดทุน’ ไปเลย
อ้างอิง: